นายพิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ เผยดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำประจำเดือนกันยายน 2561 อยู่ที่ 46.09 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 4.29 จุด จากเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาจากระดับ 41.80 จุด หรือคิดเป็น 10.25% โดยมีปัจจัยสนุนสนุนมาจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก แรงซื้อเก็งกำไร และนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตามลำดับ
ขณะที่ปัจจัยราคาทองคำที่ต้องติดตาม ได้แก่ 1. นโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) กลุ่มตัวอย่างให้ความเห็นว่า ในปลายเดือนก.ย.นี้ FED จะมีการประชุมเพื่อออกมตินโยบายทางการเงินที่นักลงทุนให้การติดตาม โดยหากเกิดการเปลี่ยนแปลงนโยบายของ FED อาจจะเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำได้อีกครั้ง
2.สถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน กลุ่มตัวอย่างให้ความเห็นว่า มีความพยายามในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งดังกล่าว โดยการผลักดันให้มีการบรรลุข้อตกลงทางการค้าซึ่งจะนำไปสู่การประชุมระหว่างทั้ง 2 ประเทศ แต่ยังไม่มีความคืบหน้าประการใด และยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ยังมีความรุนแรงเมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระบุว่าพร้อมจะเก็บภาษีรอบใหม่ ซึ่งคาดว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า และสร้างแรงกดดันต่อราคาทองคำ
3.ค่าเงินบาทที่แข็งค่า กลุ่มตัวอย่างให้ความเห็นว่า ราคาทองคำในประเทศได้รับแรงกดดันจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นหลังจากค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ซึ่งหนุนให้ค่าเงินในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ประกอบกับตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยที่แข็งแกร่งในระดับที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้เร็วกว่าที่คาด โดยให้ติดตามการประชุมของ FED ในปลายเดือนนี้
4.การเจรจาการค้าเสรีอเมริกาเหนือ ระหว่างสหรัฐฯ และแคนาดา กลุ่มตัวอย่างให้ความเห็นว่า หากการเจรจาการค้าสำเร็จ จะเป็นผลบวกต่อราคาทองคำในระยะสั้น เนื่องจากนักลงทุนจะลดการถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และจะเข้าถือครองทรัพย์สินปลอดภัยอื่นแทน เช่น ทองคำ
5.ความกังวลเกี่ยวกับนโยบายทางเศรษฐกิจของตุรกี และปัญหาความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯและตุรกี กลุ่มตัวอย่างให้ความเห็นว่า นโยบายทางเศรษฐกิจของนายทายิป แอร์โดแกน ประธานาธิบดีตุรกีว่าจะสามารถประคับประคองเศรษฐกิจให้รอดพ้นวิกฤติได้หรือไม่เมื่อเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างมาก ประกอบกับตุรกียังมีความขัดแย้งกับสหรัฐฯ กรณีตุรกีปฎิเสธไม่ปล่อยตัวนายบรุนสัน บาทหลวงชาวสหรัฐฯ ซึ่งถูกควบคุมตัวในตุรกีมาเกือบ 2 ปีแล้ว โดยถูกทางการตุรกี กล่าวหาว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคคนงานเคอร์ดิสถาน ซึ่งเป็นกลุ่มนอกกฎหมายและกลุ่มเคลื่อนไหวกูเลน ที่ตุรกีกล่าวหาว่าพยายามก่อรัฐประหารที่ล้มเหลวเมื่อ 2 ปีก่อน เป็นสาเหตุให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ใช้มาตรการคว่ำบาตรทางการค้าต่อตุรกี เช่น อนุมัติขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากตุรกีอีกเท่าตัว
ทั้งนี้จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 382 ตัวอย่าง พบว่า 45.55% ของกลุ่มตัวอย่างคาดว่าจะซื้อทองคำในช่วงเดือนกันยายน 2561 ซึ่งปรับลดลง 4.62% จากเมื่อเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมา ขณะที่ 38.22% ยังไม่แน่ใจว่าจะซื้อทองคำหรือไม่ ส่วนอีก 16.23% คาดว่าจะไม่ซื้อทองคำในช่วงเดือนกันยายน 2561
ขณะที่กลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการค้าทองคำรายใหญ่และผู้ประกอบกิจการนายหน้าซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับราคาทองคำจำนวน 10 ตัวอย่าง โดยส่วนใหญ่คาดว่าราคาทองคำในเดือนกันยายน 2561 จะเพิ่มขึ้นมีจำนวน 5 ราย และคาดว่าจะใกล้เคียงกับราคาทองคำในเดือนสิงหาคม 2561 มีจำนวน 4 ราย ส่วนที่คาดว่าราคาทองคำจะลดลงมีจำนวน 1 ราย
สำหรับการคาดการณ์ราคาทองคำเดือนกันยายน 2561 ของผู้ประกอบกิจการค้าทองคำรายใหญ่มีมุมมองดังนี้ Gold Spot ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 1,166-1,238 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อออนซ์ ด้านราคาทองคำแท่งในประเทศความบริสุทธิ์ 96.5% ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 18,100-19,100 บาทต่อน้ำหนัก 1 บาททองคำ และด้านค่าเงินบาทไทยให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 32.13-33.13 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
การลงทุนทองคำในเดือนกันยายน 2561 ผู้ค้าทองรายใหญ่ให้ความเห็นว่า ราคาทองคำเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาเผชิญต่อแรงขายมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันราคาทองคำพยายามสร้างฐาน โดยมีแนวรับอยู่ที่บริเวณ 1,170 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ หากราคาทองสามารถยืนอยู่เหนือระดับดังกล่าวได้ จะมีโอกาสทดสอบแนวต้านที่บริเวณ 1,224 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ แนะนำนักลงทุนสะสมกำลังซื้อ และอาจพิจารณาว่าราคาทองจะสามารถผ่านแนวต้านดังกล่าวได้หรือไม่ หากผ่านได้สามารถคงสถานะถือครองต่อ ทั้งนี้ขอให้นักลงทุนติดตามการประชุมของเฟดในปลายเดือนกันยายนนี้ ซึ่งจะมีผลต่อราคาทองคำเช่นกัน