นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ระบุว่า ขณะนี้ยังไม่ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังไม่กลับเข้าสู่ระดับเป้าหมาย แต่อย่างไรก็ดี คงต้องขึ้นอยู่กับการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งจะมีการประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 19 ก.ย.นี้
"กระทรวงการคลังได้แสดงความเห็นมาหลายครั้งแล้ว ว่าขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งกระทรวงการคลังไม่มีอำนาจไปสั่ง ธปท.ได้ แต่กระทรวงการคลังพิจารณาจากภาพรวมกว้างๆ แล้วเห็นว่ายังไม่มีเหตุผลที่จะขึ้นดอกเบี้ย เพราะเงินเฟ้อก็ยังไม่ได้ตามกรอบที่วางไว้" รมว.คลังกล่าว
ทั้งนี้ หากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.50% ก็จะส่งผลกระทบการลงทุนของภาครัฐและเอกชน เพราะทำให้ต้นทุนสูงขึ้น รวมถึงกระทบความสามารถการชำระหนี้ของประชาชนและภาคธุรกิจ จากที่ผ่านมากำลังผ่อนชำระหนี้ได้พอดีๆ ก็จะทำให้การชำระหนี้เริ่มติดขัด ดังนั้นเป็นประเด็นรายละเอียดที่ ธปท.จะต้องนำไปพิจารณา
"ฝากสื่อมวลชนไปบอก ธปท.ว่า ผู้ส่งออกร้องเรียนได้รับผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น หากมีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในช่วงนี้ ก็จะทำให้มีเงินไหลเข้า และค่าเงินบาทแข็งขึ้นกระทบกับผู้ส่งออกมาขึ้นไปอีก การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็นการตัดสินใจของ ธปท.ก็จริง แต่ก็ควรชั่งน้ำหนัก เหมือนกับกรณีของธนาคารกลางสหรัฐที่คิดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่านี้ มากกว่านี้ แต่เมื่อมีปัญหาเรื่องสงครามการค้าก็มีการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยออกไป ธปท. ก็ต้องพิจารณาว่าหากเศรษฐกิจมีความเสี่ยง ก็ควรชะลอการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย แต่หากเห็นว่าไม่มีความเสี่ยงก็เป็นอำนาจของ ธปท.ที่จะตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย" นายอภิศักดิ์ กล่าว
รมว.คลัง กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้มีความผันผวนมาจากปัจจัยภายนอก แต่เศรษฐกิจไทยภาพรวมยังถือว่ามีเสถียรภาพมาก ได้รับผลกระทบน้อยเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านหรือประเทศคู่แข่ง อย่างไรก็ตาม ในอนาคตหากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะกระทบกับทุกประเทศรวมถึงไทย แต่ทั้งนี้ยังมั่นใจว่าผลกระทบที่ไทยได้รับจะน้อยกว่าประเทศอื่นๆ