นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จับมือสภาที่ปรึกษาธุรกิจอาเซียนประเทศไทย จัดสัมมนา "SMEs ไทยก้าวไกลในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4" โดยมุ่งหวังสร้างความเข้าใจแก่ภาคธุรกิจ พร้อมตั้งรับกับระบบเศรษฐกิจโฉมใหม่ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากภายในอนาคตอันใกล้โลกจะเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 หรือ 4IR อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งเป็นผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม ครั้งที่ 4 ที่เทคโนโลยีและนวัตกรรมล้ำสมัยมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่การผลิต การบริโภค รวมไปถึงการใช้ชีวิตประจำวัน สังเกตได้จากการสร้างโรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) ที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลและอินเทอร์เน็ตเข้ามาใช้ในทุกหน่วยของการผลิตแบบครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคเฉพาะราย การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) หรือหุ่นยนต์ทดแทนแรงงานมนุษย์ การเชื่อมต่อข้อมูลจากคนสู่สิ่งของด้วยระบบเซนเซอร์ และการจัดลำดับพันธุกรรมด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ เป็นต้น
ทั้งนี้ คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะส่งผลให้มูลค่าเศรษฐกิจดิจิทัลของ 6 ตลาดใหญ่อาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม เติบโตจากปัจจุบัน ซึ่งมีมูลค่า 50,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ไปสู่ 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2568 จนกลายเป็นภูมิภาคที่มีขนาดเศรษฐกิจดิจิทัลใหญ่ที่สุดติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลก
นางอรมน กล่าวว่า ภาครัฐไทยได้ดำเนินการรับมือต่อ 4IR อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การประกาศนโยบายประเทศไทย 4.0 (Thailand 4.0) ส่งผลให้ไทยเป็น 1 ใน 3 ประเทศในกลุ่มผู้นำของอาเซียน ซึ่งพร้อมต่อยุคอุตสาหกรรม 4.0 อย่างไรก็ดี ไทยต้องไม่หยุดการพัฒนาเพื่อให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลในวงกว้างนี้
พร้อมระบุว่า การจัดงานสัมมนาในวันนี้มีผู้ทรงคุณวุฒิจากภาครัฐ ร่วมอภิปรายในหัวข้อ "4IR โอกาส และความท้าทายของ SMEs ไทย" และผู้เชี่ยวชาญจากภาคเอกชนและสถาบันวิจัยร่วมอภิปรายในหัวข้อ "ระดมสมองรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีสมัยใหม่" ซึ่งการผนึกกำลังร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการจุดประกายให้ผู้ประกอบการตั้งรับกับระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลแล้ว ยังเป็นโอกาสอันดีที่จะรวบรวมความเห็นและมุมมองของภาคเอกชนไทยต่อการวางนโยบายสนับสนุนของภาครัฐต่อไปด้วย