นางสุวัฒนา กมลวัทนนิศา รองผู้ว่าการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) สายงานยุทธศาตร์และการพัฒนา เปิดเผยว่า กนอ.ร่วมกับบริษัท วีเอ็นเอส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ในเครือเจริญโภคภัณฑ์ จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในลักษณะร่วมดำเนินงานภายใต้ชื่อ "นิคมอุตสาหกรรมแพรกษา"ใน ต.แพรกษา อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ บนเนื้อที่กว่า 649 ไร่ ภายใต้การลงทุน 3.7 พันล้านบาท
ทั้งนี้ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมเกษตรกรรมและผลิตผลการเกษตร อุตสาหกรรมเบา อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์โลหะ อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิคส์ อุตสาหกรมพลาสติกและกระดาษ รวมทั้งอุตสาหกรรมบริการและสาธารณูปโภค ซึ่งโครงการดังกล่าวจะดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 2 ปี หลังจากรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เรียบร้อยแล้ว โดยคาดว่าะจเปิดดำเนินการได้ภายในปี 64
นิคมอุตสาหกรรมแพรกษาได้นำแนวคิด Eco Industrial Town มาออกแบบในรายละเอียดโครงการ โดยจัดให้มีพื้นที่ที่ก่อให้เกิดรายได้ประมาณ 483 ไร่ พื้นที่ระบบสาธารณธูปโภคประมาณ 100 ไร่ และพื้นที่สีเขียวประมาณ 66 ไร่ สำหรับการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ได้ใช้ระบบรีไซเคิล เพื่อลดอัตราการปล่อยน้ำออกนอกพื้นที่โครงการ
นอกจากนี้ ศักยภาพโครงการมีข้อได้เปรียบทางโลจิสติกส์ อยู่ห่างจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ประมาณ 25 กิโลเมตร ห่างจากท่าอากาศยานดอนเมือง 55 กิโลเมตร และห่างจากท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบังประมาณ 100 กิโลเมตร ซึ่งสอดคล้องกับศักยภาพของผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรมในด้านการขนส่งและการขยายธุรกิจอุตสาหกรรมจากผู้ประกอบการภายในนิคมอุตสาหกรรมบางปู นิคมอุตสาหกรรมบางพลี นิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ และนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดีได้อีกด้วย
โครงการดังกล่าวจะก่อให้เกิดการขยายตัวทางอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ อีกทั้งสามารถเชื่อมโยงโลจิสติกส์เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
นายขจร เจียรวนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีเอ็นเอส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะมีการรับรู้รายได้เข้ามาในปี 64 ราว 4-5 พันล้านบาท หลังมีการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมแพรกษาแล้วเสร็จ โดยบริษัทตั้งเป้าหมายการขายให้กับลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีการสำรวจความต้องการของลูกค้าเก่าในพื้นที่ใกล้เคียงที่ต้องการขยาย ปรากฏว่ามีลูกค้าให้ความสนใจแล้วกว่า 50% ของพื้นที่นิคมฯทั้งหมด ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้ทำการตลาดและโฆษณา
ขณะเดียวกันมองว่านิคมอุตสาหกรรมแพรกษาเป็นโครงการที่มีขนาดค่อนข้างเล็ก คาดว่าจะสามารถขายหมดได้ในเวลาไม่นาน ซึ่งปัจจุบันก็มีลูกค้าในจีน ไต้หวัน เยอรมัน เริ่มเข้ามาให้ความสนใจ โดยที่ผ่านมามีลูกค้าจีนมีความต้องการซื้อพื้นที่ทั้งหมดในนิคมฯ (Takeover) จากบริษัท เนื่องจากมองว่ามีลูกค้าในมือรองรับแล้ว แต่ตามนโยบายของบริษัทมีความต้องการบริหารและพัฒนานิคมฯด้วยตัวเอง
ทั้งนี้การลงทุนในเฟสแรก บริษัทจะมีการใช้พื้นที่ราว 650 ไร่ จากพื้นที่ทั้งหมด 1 พันไร่ เพื่อก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งหลังจากมีการก่อสร้างแล้วเสร็จ บริษัทจะมีการศึกษาและสำรวจความต้องการของธุรกิจลูกค้า เพื่อดำเนินการก่อสร้างเฟส 2 ในพื้นที่ที่เหลืออยู่ให้สอดคล้องกับความต้องการลูกค้า เบื้องต้นบริษัทมองว่าธุรกิจคลังสินค้าจะมีความต้องการสูง
ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างขั้นตอนการปรับปรุงการทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เพื่อส่งให้กับสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ทั้งนี้บริษัทมีการเริ่มทำ EIA แล้วตั้งแต่ปี 60 โดยมีการทำประชาพิจารณ์ไปแล้ว 2 รอบ ในเดือน มี.ค.60 และ พ.ย.60
นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการลงทุนนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งยังต้องดูแนวโน้มการลงทุนของนักลงทุนหลังการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น ว่ามีความต้องการ (demand) จริงและมีโอกาสเข้าลงทุนเพียงใด อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทมุ่งเน้นในการบริหารและพัฒนานิคมอุตสาหกรรมแพรกษาก่อนเป็นหลัก
"เชื่อมั่นว่าโครงการนี้จะช่วยสร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศ ทั้งด้านการพัฒนาอุตสาหกรรม การนำเงินตราเข้าสู่ประเทศจากการลงทุนของต่างชาติ อีกทั้งสร้างประโยชน์ให้กับสังคม เนื่องจากมีการจ้างงานมากกว่า 6,000 คนและยกระดับฝีมือแรงงาน เพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ก้าวหน้าต่อไป"นายขจร กล่าว