นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงในไตรมาสสี่ จึงไม่มีความจำเป็นที่ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องรีบปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายช่วงปลายปี แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีกในช่วงเดือนธันวาคม ก็จะไม่มีผลต่อกระแสเงินไหลออกมากนัก ตลาดการเงินไทยยังมีความน่าสนใจในการลงทุนการมีความชัดเจนในเรื่องการเลือกตั้งก็ส่งผลให้ความมั่นใจของนักลงทุนเพิ่มขึ้น การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment) จะขยายตัวเพิ่มขึ้นในปีหน้าหลังจากกระบวนการเจรจาข้อตกลงทางการค้าสามารถดำเนินการได้อย่างเต็มที่ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจโดยภาพรวม
อย่างไรก็ตาม มีสัญญาณการเพิ่มขึ้นของหนี้เสียในระบบธนาคารและสถาบันการเงิน จึงทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้นทำให้ครัวเรือนไทยเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้น้อยลง จึงไปก่อหนี้นอกระบบมากขึ้น ครัวเรือนไทยกว่า 49% หรือ 10 ล้านครัวเรือนเป็นหนี้ หากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้คนกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบ และภาคธุรกิจก็มีต้นทุนทางการเงินเพิ่มสูงขึ้น แรงงานไทยที่มีรายได้เฉลี่ยต่ำกว่า 1.5 หมื่นบาทต่อครัวเรือนเป็นหนี้ถึง 96-97% (มูลค่าเฉลี่ย 130,000 บาท) โดยเป็นหนี้นอกระบบ 53-54% และ 78-79% เคยผิดนัดชำระหนี้ เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นจะทำให้การผิดนัดชำระหนี้เพิ่มขึ้นไปอีกและหนี้เสียในระบบสถาบันการเงินจะเพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะธนาคารเฉพาะกิจของรัฐที่ต้องตอบสนองนโยบายของรัฐในการช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยและธุรกิจ SMEs ขณะนี้ยอดปรับโครงสร้างหนี้ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ประมาณ 40% ของหนี้ที่เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้จะกลับมาเป็นหนี้เสียหรือเอ็นพีแอลแม้นตัวเลขเอ็นพีแอลในระบบยังค่อนข้างต่ำแต่เริ่มมีสัญญาณฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์รวมทั้งหนี้เสียที่อยู่อาศัยและหนี้เสียสินเชื่อส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น โดยที่หนี้เสียที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่ที่เข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้จะเป็นกลุ่มคนอายุระหว่าง 40-53 ปี (เจนเอ็กซ์) การก่อหนี้ของครัวเรือนส่วนใหญ่จะใช้ไปเพื่อ การอุปโภคบริโภคการซื้อบ้านและที่ดิน และเพื่อการลงทุนและประกอบอาชีพการกู้เพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉิน เช่น ค่าการศึกษาบุตร และ ค่ารักษาพยาบาลอีกด้วย
เจ้าหนี้นอกระบบมักเอารัดเอาเปรียบ มีการคิดดอกเบี้ยถึง 20-30% ต่อเดือนและมักคิดดอกเบี้ยทบต้นทบดอกในเวลาที่ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ทันตามกำหนดทำให้ลูกหนี้ต้องกลายเป็นผู้ที่มีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้นอย่างไม่เป็นธรรมอีกทั้งเจ้าหนี้นอกระบบยังใช้วิธีการทวงหนี้ที่รุนแรง เช่น การใช้กำลังข่มขู่ หรือทำให้ลูกหนี้อับอายด้วยวิธีอื่น ๆการเอารัดเอาเปรียบและวิธีการทวงหนี้ที่รุนแรงนี้ทำให้เกิดปัญหาทางสังคมติดตามมา
คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม. รังสิต กล่าวเสนอแนะว่า ต้องมีนโยบายให้ประชาชนเข้าถึงการใช้บริการทางการเงินและเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้นและเปลี่ยนหนี้นอกระบบมาเป็นหนี้ในระบบการปล่อยให้ดอกเบี้ยลอยตัวในระบบสถาบันการเงินเพื่อให้การคิดอัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามความเสี่ยงของลูกหนี้จะช่วยบรรเทาปัญหาการเป็นหนี้นอกระบบได้ระดับหนึ่งส่งเสริมการแข่งขันเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในระบบสถาบันการเงินและเข้าถึงบริการการเงินได้ทั่วถึงครอบคลุมมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องไม่แข่งขันกันจนเกินพอดีจนเกิดความเสี่ยงต่อระบบ
นอกจากนี้ควรบูรณาการการกำกับดูแลระบบสถาบันการเงินให้เชื่อมโยงกันมากขึ้นและก่อให้เกิดความสมดุลระหว่างเสถียรภาพกับนวัตกรรมทางการเงินที่อาจนำมาสู่ความเสี่ยงของระบบการเงินวิกฤติสถาบันการเงินหากจะเกิดขึ้นในอนาคตความอ่อนไหวจะไม่ได้อยู่ที่ระบบธนาคารพาณิชย์ หากจะอยู่ที่ธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ สหกรณ์ออมทรัพย์และnon-bank ต่างๆ รวมทั้งการเก็งกำไรในนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ เช่น Cryptocurrency