ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน ก.ย.61 อยู่ที่ 82.3 จาก 83.2 ในเดือน ส.ค.61 โดยดัชนีความเชื่อมั่นฯ ปรับลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าและราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมอยู่ที่ 69.4 จาก 70.2 ในเดือนก่อนหน้า ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำอยู่ที่ 77.6 จาก 78.3 และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 100.0 จาก 101.2
สำหรับปัจจัยลบที่ส่งผลให้ดัชนีฯ ปรับตัวลดลง ได้แก่ ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น, พืชผลทางการเกษตรยังทรงตัวในระดับต่ำ , ความกังวลสงครามการค้า, นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยลดลงกว่าปกติ และผู้บริโภคยังมองเศรษฐกิจฟื้นตัวช้าและกระจุกตัว
ขณะที่ปัจจัยบวก ได้แก่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) คงคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย (GDP) ปี 61 ที่ 4.4% และปี 62 ที่ 4.2% โดยมองว่าเศรษฐกิจในภาพรวมยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5%, การส่งออกในเดือน ส.ค.เติบโตเพิ่มขึ้น 6.68% และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือน ก.ย.61 ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือนนับตั้งแต่เดือน มิ.ย.61 มีผลมาจากปัจจัยที่สำคัญ 4 เรื่อง คือ 1.ผู้บริโภครู้สึกว่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นได้ส่งผลให้อำนาจซื้อลดน้อยลง 2.สถานการณ์ที่นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาไทยลดน้อยลง 3.ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ เช่น ข้าว, ข้าวโพด และยางพารา, และ 4.สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เริ่มมีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อในประเทศชะลอตัวลง และความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคตปรับตัวลดลง
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ปัจจัยแรก ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่มีแนวโน้มจะปรับขึ้นไปถึง 90-100 ดอลลาร์/บาร์เรล และส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศอยู่ในระดับสูงกว่า 30 บาท/ลิตร ยกเว้นดีเซลที่รัฐบาลยังคงตรึงราคาอยู่นั้น ระดับราคาน้ำมันที่เกินกว่า 30 บาทถือว่าเป็นราคาที่ทะลุระดับจิตวิทยา จึงทำให้คนมีความกังวลเรื่องการจับจ่ายใช้สอย ทั้งนี้พบว่าราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นไปทุก 1 บาท/ลิตร จะทำให้มีเม็ดเงินออกจากระบบไปประมาณ 600-1,000 ล้านบาท/เดือน
ปัจจัยที่สอง กรณีนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงนั้น เริ่มเห็นสถานการณ์นี้มาตั้งแต่เดือน ส.ค. และยังมีสัญญาณว่าจะต่อเนื่องไปจนถึงเดือน พ.ย. ส่งผลให้ธุรกิจต่างๆ ที่เชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวทั้งที่อยู่ในกรุงเทพฯ ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออกได้รับผลกระทบตามมา ทำให้กำลังซื้อลดลง แต่เชื่อว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะเริ่มคลี่คลายในช่วงหลังเดือนพ.ย. ที่เข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยว
ปัจจัยที่สาม ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณ supply ในตลาดโลกที่ย่อตัวลง ส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรหลายรายการยังซึมตัวเมื่อเทียบกับระดับราคาในช่วง 3-4 ปีก่อนหน้านี้ ทั้งข้าว, ข้าวโพด, ยางพารา, สับปะรด และปาล์มน้ำมัน เป็นต้น
ปัจจัยที่สี่ สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่มีแนวโน้มจะเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น จึงทำให้ประชาชนมีความกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย
"เหล่านี้เป็นปัจจัยลบสำคัญที่ประดังเข้ามาในช่วงเดือน ก.ย. จึงทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน นอกจากนี้ ทุกคนยังรอดูความชัดเจนจากปัจจัยทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จึงทำให้ยังกังวลในเรื่องค่าครองชีพ ระมัดระวังการใช้จ่าย ตลอดจนการซื้อสินค้าคงทนต่างๆ ทั้งบ้าน รถยนต์ รวมทั้งการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยว" นายธนวรรธน์ กล่าว
พร้อมคาดว่าในไตรมาส 4 ปีนี้ การจับจ่ายใช้สอยของประชาชนจะยังคงมีความระมัดระวังมากขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปีใหม่ ซึ่งส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังอาจจะลดลงต่อเนื่องในไตรมาส 4 ปีนี้
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังคงประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 61 จะเติบโตได้ในระดับ 4.5-4.5% ทั้งนี้ เชื่อว่าสถานการณ์นักท่องเที่ยวจีนจะเริ่มกลับมาในช่วงหลังเดือนพ.ย. ขณะเดียวกันเชื่อว่ารัฐบาลจะเร่งรัดในการผลักดันเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านโครงการเมกะโปรเจ็กท์ต่างๆ มาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ขณะเดียวกันจะเริ่มกิจกรรมทางการเมืองเพิ่มขึ้นจากที่เข้าใกล้ช่วงการเลือกตั้ง ซึ่งบรรยากาศต่างๆ เหล่านี้จะพยุงเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 4 ได้ โดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คาดว่าจะเห็นเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้อย่างชัดเจนในกลางปี 62
"ปัญหาสำคัญในปีหน้า หากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนยังไม่คลี่คลาย และปัญหาราคาน้ำมันหากอยู่ในระดับที่สูงเกินกว่า 100 ดอลลาร์/บาร์เรลนั้น รัฐบาลจะดูแลกลไกราคาน้ำมันในประเทศอย่างไร ภายใต้เศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ เพราะเราคาดว่ากว่าเศรษฐกิจจะฟื้นอย่างโดดเด่นน่าจะเป็นกลางปี 62" นายธนวรรธน์กล่าว