นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดมอบนโยบายผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) หรือทูตพาณิชย์จาก 56 สำนักงานทั่วโลก และผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ ในวันที่ 16 ต.ค.2561 พร้อมทั้งเตรียมการประชุมประเมินสถานการณ์และวางแผนขยายการค้าการลงทุนไทยในต่างประเทศ โดยมี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ในวันที่ 18 ต.ค. 61 ซึ่งจะรับฟังการชี้แจงมิติใหม่ของ สคต. และแผนผลักดันการค้าเชิงรุกที่จะนำมาใช้ในการดำเนินการสำหรับปี 2562
ในการประชุมทูตพาณิชย์ครั้งนี้ จะมีการประเมินแนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลือของปีนี้ว่ามีทิศทางอย่างไร โดยมั่นใจว่าเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ที่ 8% ทำได้แน่นอน และน่าจะทำได้ถึง 9% ส่วนจะมากกว่านี้หรือไม่ต้องประเมินอีกครั้ง และยังจะประเมินแนวโน้มและทิศทางการส่งออกปี 2562 ว่าไทยจะมีโอกาสในการผลักดันการส่งออกได้มากน้อยแค่ไหน ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจคู่ค้าในปัจจุบัน และให้ประเมินผลกระทบทั้งจากปัญหาสงครามการค้า ราคาน้ำมัน และอัตราแลกเปลี่ยน โดยจะเปิดโอกาสให้ผู้แทนระดับสูงจากภาคเอกชนเข้ามาร่วมให้ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะด้วย
"เรียกได้ว่าเป็นการขับเคลื่อนธุรกิจและการค้าระหว่างประเทศโฉมใหม่ สอดรับยุทธศาสตร์ชาติอย่างชัดเจน จับต้องได้ ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน และจะร่วมกันทำงานในรูปแบบประชารัฐ"
สำหรับในการขับเคลื่อนการส่งออกในปี 62 กระทรวงฯ มีเป้าหมายในการผลักดันผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (SMEs) ผู้ประกอบการท้องถิ่น เกษตรกรรุ่นใหม่ ให้มีโอกาสส่งออกได้เพิ่มขึ้น ภายใต้นโยบาย Local to Global ขณะเดียวกันจะเร่งพัฒนาช่องทางการค้าออนไลน์ โดยใช้กลไกของ Thaitrade.com เป็นช่องทางการเปิดตัวสินค้าไทยออกสู่ตลาดโลก ซึ่งจะเพิ่มจำนวนสินค้าจาก SMEs ให้เข้ามาจำหน่ายผ่านเว็บไซต์เพิ่มขึ้น และยังมีแผนที่จะร่วมมือกับพันธมิตรทางการค้าออนไลน์อื่นๆ ในการผลักดันการจำหน่ายสินค้าไทยออกสู่ตลาดโลก ได้แก่ ตลาดอเมริกา Amazon และ e-Bay , ตลาดจีน Alibaba.com , Tmall.com , Tmall.hk , 1688.com , Ali e-Auction และHKTDC.com , ตลาดเกาหลีใต้ TradeKorea.com และ Coupang.com , ตลาดแอฟริกา Gosoko , ตลาดอาเซียน ShopJJ.co (สิงคโปร์) , Bagantrade.com (เมียนมา) และตลาดอเมริกาใต้ B2Brazil (บราซิล) เป็นต้น และยังจะเชื่อมโยงในด้านการชำระเงิน โลจิสติกส์ และการตลาดดิจิทัล ผ่าน Google และ Facebook ด้วย
อีกทั้ง การผลักดันให้เกิดการขยายตัวของอีคอมเมิร์ซโดยร่วมมือกับพันธมิตรของประเทศต่างๆ อีกทั้ง จะเน้นการผลักดันและสร้างแบรนด์ไทย หรือ Thailand’s Brand โดยจะเร่งประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างภาพลักษณ์สินค้าไทยให้เป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้น อันจะส่งผลให้มีการส่งออกได้เพิ่มขึ้น ส่วนการเจาะและขยายตลาด จะให้ความสำคัญกับการเจาะตลาดใหม่ ตลาดเมืองรอง และตลาดเฉพาะ โดยในการจัดทำแผนจะต้องมีความชัดเจนในแต่ละตลาดว่าไทยจะเจาะสินค้าอะไร ช่องทางไหน กลุ่มผู้บริโภคเป็นอย่างไร โอกาสเป็นยังไง ใครเป็นคู่แข่ง ซึ่งจะต้องมีความชัดเจนหมด ไม่ใช่แค่มาระบุเป้าหมายว่าตลาดนั้น จะโตเท่านั้นเท่านี้ แต่ต้องมีกลยุทธ์และวิธีการที่จะผลักดันให้การส่งออกเติบโตด้วย ขณะที่ตลาดเฉพาะ เช่น สินค้าฮาลาล ที่ถือเป็นสินค้ากลุ่มที่มีโอกาส จากการขยายตัวของกลุ่มผู้บริโภคชาวมุสลิม ซึ่งต้องมีแผนเจาะตลาดให้ชัดเจนว่าไทยจะเจาะยังไง ประเทศไหนบ้าง ทั้งในอาเซียน จีน ตะวันออกกลาง สหรัฐฯ และประเทศที่มีชาวมุสลิมอาศัยอยู่ ซึ่งจะต้องดูถึงกลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มซุปเปอร์ริช กลุ่มสัตว์เลี้ยง กลุ่มรักสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
นายสนธิรัตน์กล่าวว่า กระทรวงฯ ยังมีแผนที่จะขับเคลื่อนธุรกิจบริการที่มีความพร้อมในการประกอบธุรกิจระหว่างประเทศ เช่น บริการด้านสุขภาพโดยเฉพาะธุรกิจผู้สูงอายุ โรงพยาบาล สปา ร้านอาหาร มีเป้าหมายจะผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลาง Wellness ของเอเซีย บริการด้านดิจิทัลคอนเท็นต์ เช่น ภาพยนตร์ สารคดี เกมส์ รวมถึงด้านบริหารจัดการโรงแรม ศูนย์การค้า รับเหมาก่อสร้าง ที่ปัจจุบันมีการขยายตลาดออกไปยังต่างประเทศได้เพิ่มขึ้น โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศพยายามผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลาง outsource และผู้นำด้าน IP ของเอเชีย และบริการด้านโลจิสติกที่พยายามผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางของอาเซียน รวมถึงบริการที่เกี่ยวเนื่องกับภาคการท่องเที่ยว ซึ่งสำหรับธุรกิจบริการที่จะดำเนินการในประเทศ จะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการยกระดับมาตรฐานการให้บริการและการประกอบธุรกิจ โดยร่วมมือกับหน่วยงานพันธมิตรต่างๆ อาทิ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงดิจิตัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นต้น