นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เป็นประธานในการประชุมเตรียมการผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) จาก 64 แห่งทั่วโลก และผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ โดยระบุว่า การประชุมวันนี้เพื่อเจาะลึกสถานการณ์รายภูมิภาคกับทูตพาณิชย์ ประเมินวิกฤตและโอกาสทางการตลาดของพื้นที่ที่รับผิดชอบดูแล วิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย และให้จัดทำแผนการรับมือรวมถึงแผนผลักดันการส่งออกอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อผลักดันยอดส่งออกในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2561 พร้อมวางแผนการขับเคลื่อนการส่งออกรวมทั้งขยายการค้าและการลงทุนในปี 2562 ก่อนที่จะมีการประชุมใหญ่ในวันที่ 18 ตุลาคม 2561 โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า สำหรับประเด็นสำคัญในวันนี้ต้องการให้ทูตพาณิชย์ Mindset การทำงาน โดยการทำงานจะต้องเน้นผลลัพธ์ (Result Oriented) หากมีปัญหาหรืออุปสรรคขอให้รายงานมาพร้อมกับแนวทางหรือข้อเสนอแนะในการแก้ไข ซึ่งกระทรวงพาณิชย์พร้อมที่จะช่วยผลักดันในระดับนโยบาย ทั้งนี้ เห็นว่าแต่ละตลาดต้องมียุทธศาสตร์การเจาะตลาดที่เหมาะสมเป็นรายประเทศ มีเป้าหมายที่ชัดเจน และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีที่ต้องการผลักดันให้ไทยเป็น Trading Nation เน้นใช้การตลาดเป็นตัวนำ ให้สามารถเชื่อมโยงสู่ภาคการผลิตในประเทศได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคสินค้าเกษตร ซึ่งจะเป็นทางหนึ่งในการช่วยแก้ปัญหาสินค้าเกษตรอย่างยั่งยืน
สำหรับเรื่องสงครามการค้านั้น ได้สั่งการให้ทูตพาณิชย์ติดตามและประเมินผลกระทบอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในมิติโอกาสทางการค้าที่จะเกิดขึ้นให้กับสินค้าไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่มีศักยภาพอยู่แล้ว และสามารถส่งออกไปทดแทนสินค้าที่ถูกกำแพงภาษีได้ อาทิ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์ยาง และสินค้าเกษตร
รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า การประชุมในครั้งนี้จะปรับเพิ่มบทบาทใหม่ของสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (สคต.) ในการทำงานเชิงรุกให้มากขึ้น เพื่อรองรับสถานการณ์ทางการค้าที่มีความผันผวนได้อย่างทันท่วงที และรูปแบบใหม่ของธุรกิจที่มีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีมาใช้ รวมทั้งเพิ่มบทบาทในการจัดทำแผนส่งเสริมและขยายตลาดแก่ธุรกิจบริการไทยอย่างเป็นรูปธรรม นอกเหนือจากส่งเสริมการส่งเสริมการส่งออกสินค้า โดยได้มอบหมายให้ทูตพาณิชย์เร่งประเมินโอกาสและจัดทำแผนงานผลักดันการขยายธุรกิจร้านอาหารไทยในต่างประเทศ เนื่องจากเป็นธุรกิจบริการศักยภาพของไทยที่สามารถเชื่อมโยงกับสินค้าและบริการอื่นๆ อีกมาก
นอกจากนั้น ยังได้มอบหมายให้ สคต.ทุกแห่งกระชับความสัมพันธ์กับผู้นำเข้าและนักธุรกิจรายสำคัญในประเทศเขตดูแลของตน เพื่อสร้างแนวร่วมในการส่งเสริมและแก้ไขปัญหาทางการค้า ตลอดจน สคต. ต้องบูรณาการการทำงานและเชื่อมโยงการทำงานกับระดับจังหวัด โดยมีสำนักงานพาณิชย์ 18 กลุ่มจังหวัดเป็นกลไกในภูมิภาค เพื่อสร้างโอาสทางธุรกิจการค้าระหว่างประเทศให้แก่เกษตกรรุ่นใหม่ ผู้ประกอบการท้องถิ่นที่เป็นรายย่อย (MSMEs) และผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก (SMEs) ที่มีศักยภาพซึ่งกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ให้ความสำคัญและมีเป้าหมายที่จะเร่งผลักดันการสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจฐานราก โดยภายใต้นโยบาย Local 2 Global
อย่างไรก็ดี ในการประชุมทูตพาณิชย์ครั้งนี้ ได้มีการประเมินแนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี 61 โดยมั่นใจว่าจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 8% อย่างแน่นอน ที่มูลค่า 255,565 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รวมถึงจะประเมินแนวโน้ม ทิศทาง และเป้าหมายการส่งออกปี 2562 ด้วย ซึ่งจะประเมินจากภาวะเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจคู่ค้าในปัจจุบัน ผลกระทบจากสงครามการค้า ราคาน้ำมัน และอัตราแลกเปลี่ยนด้วย
อนึ่ง การส่งออกของไทยในช่วง 8 เดือนแรก (ม.ค.-ส.ค.61) มีมูลค่า 169,030 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 10% ตลาดส่งออกสำคัญมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในทุกตลาด มีเพียงตะวันออกกลางลดลงเล็กน้อยที่ 2% เนื่องจากปัญหาความไม่สงบในภูมิภาค
"ขอให้ทูตพาณิชย์ทำงานอย่างเต็มที่ แม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะมีการเปลี่ยนแปลง โดยช่วงนี้จนถึงวันที่ 13 ธ.ค.นี้ เป็นช่วง 90 วันที่ปลอดการเมือง หลังจากนั้น จะเข้าสู่ช่วงของการหาเสียงเลือกตั้ง คาดว่าจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 24 ก.พ.62 กว่าจะจัดตั้งรัฐบาลได้ น่าจะเป็นช่วงเดือนเม.ย.62 เมื่อนับรวมเวลาแล้วก็คิดเป็นครึ่งปีของปีงบประมาณ 62 ดังนั้นในระหว่างนี้ ขอให้ทูตพาณิชย์ทำงานอย่างเต็มที่ เพื่อไม่ให้ประเทศไทยเสียโอกาสทางการค้า" รมว.พาณิชย์กล่าว
พร้อมกันนี้ ขอให้ทูตพาณิชย์ปรับวิธีการคิดในการทำงานรับมือความเปลี่ยนแปลงของโลก และสงครามการค้า โดยให้อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เร่งจัดเกรดสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ โดยประเมินผลการทำงานย้อนหลัง 3-5 ปี เช่น กลุ่มเอ คือกลุ่มที่ดี ส่วนกลุ่มบี ปานกลาง และกลุ่มซี มีปัญหามาก ซึ่งจะขอหารือเป็นพิเศษ เพื่อฟังปัญหาว่าเกิดจากตลาดนั้นชะลอตัวหรือต้องแก้ไข เพื่อดึงศักยภาพด้านใดด้านหนึ่งออกมาใช้ในการเจาะตลาดเป็นพิเศษ แต่หากจำเป็นก็อาจโยกย้ายตัวบุคคล ส่วนกลุ่มทูตพาณิชย์ดาวรุ่งในตลาดที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ก็ต้องให้งบประมาณสนับสนุนเพิ่มเติม
"ต้องการให้ทูตพาณิชย์เพิ่มบทบาทการทำงานใหม่ๆ เช่น เป็นเซลล์แมนติดต่อกับพ่อค้าต่างประเทศ และดึงดูดนักลงทุนเข้ามาในไทยโดยเฉพาะนักลงทุนใหม่ๆ ที่เน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งในอนาคตจะช่วยเพิ่มยอดส่งออกของไทยได้ สำหรับสงครามการค้า ขอให้แต่ละตลาดเร่งวิเคราะห์ว่า ตลาดใดหรือสินค้าใดมีโอกาส หรืออาจจะถูกกระทบ และให้เร่งสรุปมาเพื่อกำหนดมาตรการ ก่อนนำไปประเมินเป้าหมายส่งออกปี 62" นายสนธิรัตน์ระบุ