นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยถึงผลการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรี (FTA) และภายใต้ระบบสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (GSP) ในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2561 (ม.ค.-ส.ค.) ว่า มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ รวมอยู่ที่ 49,891.36 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 19.12% หรือมีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์อยู่ที่ 74.64% ของการได้รับสิทธิทั้งหมด โดยแบ่งเป็นการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ FTA มูลค่า 46,721.43 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 19.77% หรือมีอัตราการใช้สิทธิ 75.91% และการส่งออกภายใต้ GSP มูลค่า 3,169.93 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.35% หรือมีอัตราการใช้สิทธิ 59.84%
ทั้งนี้ ในปัจจุบันประเทศไทยได้จัดทำความตกลง FTA ทั้งสิ้น 12 ฉบับ และตลาดส่งออกที่ไทยมีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.อาเซียน (มูลค่า 17,853.31 ล้านเหรียญสหรัฐ) 2.จีน (มูลค่า 11,890.12 ล้านเหรียญสหรัฐ) 3.ออสเตรเลีย (มูลค่า 6,260.61 ล้านเหรียญสหรัฐ) 4.ญี่ปุ่น (มูลค่า 4,998.82 ล้านเหรียญสหรัฐ) และ 5.อินเดีย (มูลค่า 2,990.25 ล้านเหรียญสหรัฐ) และเมื่อพิจารณาอัตราการขยายตัวของมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ พบว่าตลาดนิวซีแลนด์เป็นเพียงตลาดเดียวมีอัตราการขยายตัวเป็นลบ ในขณะที่ทุกตลาดที่เหลือมีอัตราการขยายตัวของมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น โดยตลาดที่มีอัตราการขยายตัวสูงสุด คือ เปรู เพิ่ม 59.66% รองลงมาคือ จีน เพิ่ม 31.36% และอินเดีย เพิ่ม 25.07%
สำหรับกรอบความตกลงการค้าเสรีที่มีอัตราการใช้สิทธิประโยชน์สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ไทย-ชิลี (104.30%) 2.ไทย-ออสเตรเลีย (91.93%) 3.อาเซียน-จีน (90.75%) 4.ไทย-ญี่ปุ่น (88.32%) และ 5.อาเซียน-เกาหลี (88.03%) และรายการสินค้าส่งออกที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ รถยนต์บรรทุก ผลิตภัณฑ์ยางสังเคราะห์ผสมยางธรรมชาติ ทุเรียน น้ำตาลจากอ้อย และน้ำมันปิโตรเลียม
นอกจากนี้ การใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) ในช่วง 8 เดือน พบว่าประเทศที่ไทยใช้สิทธิส่งออกในแง่ของมูลค่าสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.เวียดนาม (5,055.01 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) 2.อินโดนีเซีย (4,503.43 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) และ 3.ฟิลิปปินส์ (3,791.53 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) โดยน่าจับตาการส่งออกไปเมียนมาที่มีอัตราการขยายตัวการใช้สิทธิเพิ่มขึ้นกว่า 64% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยสินค้าประเภทวัสดุก่อสร้างและเฟอร์นิเจอร์จากไทยกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดเมียนมา ซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายพัฒนาประเทศครั้งใหญ่ที่มีความต้องการสินค้าที่ใช้ในการก่อสร้างจำนวนมาก
ในส่วนของอินโดนีเซียนั้น ที่ผ่านมาผู้ส่งออกส่วนใหญ่ประสบปัญหาในการเข้าสู่ตลาด พบว่าอินโดนีเซียเพิ่งออกประกาศลดภาษีสินค้าตามพันธกรณีการค้าสินค้าภายใต้ความตกลงอาเซียน-ญี่ปุ่น ทำให้ผู้ส่งออกสามารถขอใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีภายใต้ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่นได้แล้ว โดยผู้ส่งออกสามารถขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าฟอร์ม AJ เพื่อส่งออกไปยังอินโดนีเซีย รวมถึงสามารถนำเข้าสินค้าจากอินโดนีเซียภายใต้ความตกลงอาเซียน-ญี่ปุ่น และนำมาสะสมถิ่นกำเนิดสินค้าในไทยเพื่อส่งออกไปยังประเทศภาคีสมาชิกความตกลงอาเซียน-ญี่ปุ่น นอกจากนี้ ยังสามารถซื้อขายผ่านนายหน้าหรือประเทศที่ 3 ทั้งในระบบ Third Country Invoicing และแบบ Back-to-Back ไปอินโดนีเซียได้ จึงเป็นโอกาสทางธุรกิจใหม่ที่ผู้ส่งออกสามารถใช้ความได้เปรียบจากการได้สิทธิประโยชน์ทางการค้านี้ในการสร้างความสามารถทางการแข่งขันได้อีกด้วย
นายอดุลย์ กล่าวว่า การใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ GSP ปัจจุบันไทยยังคงได้รับสิทธิจาก 5 ระบบ ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา, สวิตเซอร์แลนด์, รัสเซียและเครือรัฐเอกราช, นอร์เวย์ และญี่ปุ่น โดยในช่วง 8 เดือน มีการใช้สิทธิประโยชน์ภายใต้ระบบ GSP สหรัฐอเมริกามากที่สุด คือ ประมาณ 90% ของมูลค่าการใช้สิทธิ GSP ทั้งหมด ซึ่งมีมูลค่าการใช้สิทธิอยู่ที่ 2,858.82 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 3.56% หรือมีอัตราการใช้สิทธิ 68.46% ของมูลค่าการส่งออกที่ได้รับสิทธิ GSP ซึ่งมีมูลค่า 4,176 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสินค้าที่มีมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ GSP สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ส่วนประกอบเครื่องปรับอากาศ เครื่องดื่มอื่นๆ ถุงมือยาง อาหารปรุงแต่ง และรถจักรยานยนต์
สำหรับการใช้สิทธิ GSP ไปยังสวิตเซอร์แลนด์และนอร์เวย์ นับตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2561 เป็นต้นไป กรมฯ ได้เปลี่ยนมาใช้ระบบการรับรองตนเองของผู้ส่งออก (Registered Exporter: REX system) เต็มรูปแบบแทนการใช้หนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Form A) โดยในช่วง 8 เดือน การใช้สิทธิฯ GSP ภายใต้ระบบ REX สวิตเซอร์แลนด์มีมูลค่ารวม 186.21 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นอัตราการใช้สิทธิ 33.10% เมื่อเทียบกับการส่งออกรายการสินค้าที่ได้รับสิทธิ และสำหรับการใช้สิทธิ GSP ภายใต้ระบบ REX นอร์เวย์ มีมูลค่ารวม 14.16 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นอัตราการใช้สิทธิ 69.51% เมื่อเทียบกับการส่งออกรายการสินค้าที่ได้รับสิทธิ
"ถึงแม้ว่าหลายฝ่ายยังมีความกังวลต่อเสถียรภาพนโยบายการค้าของประเทศมหาอำนาจ และความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งแนวโน้มการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่กรมฯ มั่นใจว่ามูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมาย โดยตลอดปี 2561 ได้ตั้งเป้าหมายอัตราการขยายตัวมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ไว้ที่ 9% คิดเป็นมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ประมาณ 70,794 ล้านเหรียญสหรัฐ" อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศระบุ
ทั้งนี้ มูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ ในช่วง 8 เดือน คิดเป็น 70.5% ของเป้าหมายมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ โดยเมื่อพิจารณาถึงมูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลมาจากการส่งออกของไทยที่มีการกระจายตัวในตลาดใหม่ๆ และศักยภาพในการขยายตลาดที่เพิ่มขึ้นในอนาคต รวมทั้งการปรับปรุงระบบการให้บริการเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ กรมฯ จึงมั่นใจว่ามูลค่าการใช้สิทธิประโยชน์ฯ จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และมีความเป็นไปได้ที่จะขยายตัวมากกว่า 10% ตลอดทั้งปี