นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ประเมินถึงเศรษฐกิจไทยไตรมาสสี่และแสดงความเห็นถึงศักยภาพในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยในอนาคตว่า อัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยไตรมาสสี่เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้จะมีอัตราการเติบโตลดลงเนื่องจากผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและประเทศคู่ค้า โดยคาดว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยไตรมาสสี่เทียบกับระยะเวลาเดียวกันกับปีที่แล้วจะอยู่ที่ 4.2-4.3% ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับการเติบโตครึ่งปีแรก (เทียบไตมาสแรกขยายตัว 4.9% ไตรมาสสองขยายตัว 4.6%) การที่เศรษฐกิจยังคงขยายตัวได้มากกว่า 4% เป็นผลจากการเร่งรัดการลงทุนภาครัฐอัตราการใช้กำลังการผลิตในหลายอุตสาหกรรมปรับตัวสูงขึ้นและสูงกว่า 70% ไม่ต่ำกว่า 5 รายอุตสาหกรรมทำให้การลงทุนภาคเอกชนฟื้นตัวต่อเนื่อง ความชัดเจนเรื่องการเลือกตั้งและกิจกรรมการเลือกตั้งส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นในภาพรวมภาคส่งออกและภาคการท่องเที่ยวยังขยายตัวได้ดี
อย่างไรก็ตาม หากการจัดการเลือกตั้งไม่เสรีและไม่เป็นธรรมจะส่งผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจและทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนสั่นคลอน ไม่มั่นใจต่ออนาคตของประเทศ รวมทั้งอาจนำไปสู่การเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจในอนาคตการเลื่อนการเลือกตั้งไปเรื่อยๆก็จะสร้างปัญหาทางเศรษฐกิจและการเมืองไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันการจัดการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมรวมทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยและออกแบบให้รัฐบาลมีเสถียรภาพจึงมีความสำคัญต่อประเทศและคุณภาพชีวิตของประชาชน หากมีเลื่อนการเลือกตั้งจาก 24 กุมภาพันธ์อีกจะส่งผลกระทบทำให้ภาคการลงทุนและเศรษฐกิจชะลอตัวลงมากในช่วงไตรมาสสี่ปีนี้ต่อเนื่องถึงไตรมาสหนึ่งปีหน้า
"การจัดการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมจะเป็นปัจจัยสำคัญต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในไตรมาสสี่ปีนี้ต่อเนื่องไปถึงไตรมาสแรกปีหน้า การเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมจะนำมาสู่เสถียรภาพทางการเมืองหลังการเลือกตั้งส่งผลดีต่ออัตราการขยายตัวของการลงทุนภาคเอกชนและเศรษฐกิจไทยในอนาคต ไม่ควรวิตกกังวลการเคลื่อนไหวทางการเมืองจะนำมาสู่ความขัดแย้งเผชิญหน้าหรือวิกฤตการณ์ทางการเมือง แต่การไม่ปลดล็อคทางการเมืองต่างหากจะสร้างปัญหาและนำไปสู่ความรู้สึกว่ามีการจัดการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรมการกดทับสิทธิเสรีภาพต่างหากที่จะสร้างปัญหาความขัดแย้งรุนแรงและทำให้ปัญหามีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น"
ส่วนการเคลื่อนไหวหลังการเลือกตั้งเพื่อให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่อยู่บนพื้นฐานหลักการประชาธิปไตยจะนำประเทศไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่สอดคล้องกับพลวัตเศรษฐกิจการเมืองโลกมากกว่าซึ่งจะส่งผลบวกต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาวระบอบประชาธิปไตยที่มั่นคงและมีเสถียรภาพจะช่วยดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศได้ดีกว่าสิทธิประโยชน์พิเศษทั้งหลายที่มอบให้นักลงทุนต่างชาติ และ ระบบนิติรัฐประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของไทยให้แข็งแกร่งขึ้น
นายอนุสรณ์ กล่าวอีกว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจอย่างยิ่งที่ความสามารถในการแข่งขันของไทยล่าสุดปี พ.ศ. 2561 ปรับตัวลดลงทั้งที่รัฐบาลชุดนี้มีการเร่งรัดโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ Hard Infrastructure จำนวนมาก แต่ประเทศไทยจำเป็นต้องมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเพิ่มเติมดูแลทางด้านสาธารณสุข การศึกษา และ สิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นเพราะล่าสุดมีอันดับที่ลดลงนอกจากนี้โครงสร้างพื้นฐานที่เป็น Soft Infrastructure ต้องพัฒนาให้ดีขึ้น ทั้ง ระบบนิติรัฐ ระบบกฎหมายการแก้ปัญหาการคอร์รัปชันและสถาบันในระบอบประชาธิปไตย ในระยะยาวแล้วเศรษฐกิจไทยจะต้องเติบโตบนฐานนวัตกรรมและผลิตภาพเนื่องจากการขยายตัวของแรงงานและทุนมีข้อจำกัดและเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ประเทศไทยนั้นยังลงทุนทางด้านนวัตกรรมน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้ว