นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้จัดคณะผู้แทนลงพื้นที่จังหวัดสงขลา ในช่วงวันที่ 30-31 ต.ค.61 เพื่อติดตามสถานการณ์การค้าชายแดนและประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในการแก้ไขปัญหาความแออัดบริเวณด่านศุลกากรสะเดา และด่านศุลกากรปาดังเบซาร์ รวมถึงผลักดันให้ผู้ประกอบการใช้ประโยชน์จากด่านศุลกากรบ้านประกอบให้มากขึ้น
สำหรับปัญหาความแออัดของด่านสะเดา และด่านปาดังเบซาร์ เกิดจาก (1) เวลาเปิดปิดด่านของฝั่งมาเลเซีย ไม่ตรงตามที่ได้ตกลงกับไทย โดยด่านศุลกากรบูกิต กายู ฮิตัม ต้องเปิดปิด เวลา 06.00-24.00 น. (เวลาประเทศมาเลเซีย) ตรงกับด่านสะเดาเวลา 05.00-23.00 น. (เวลาประเทศไทย) แต่มาเลเซียเปิดปิดจริงเวลา 09.30-20.30 น. และด่านศุลกากรปาดังเบซาร์ของฝั่งมาเลเซียตามที่ตกลงไว้เปิดปิด เวลา 06.00-22.00 น. ตรงกับด่านปาดังเบซาร์ของไทยเวลา 05.00-21.00 น. แต่มาเลเซียทำการเปิดปิดจริงเวลา 09.30-19.30 น. และ (2) ปัญหาช่องทางเข้า-ออก ของ Truck Terminal ที่ด่านบูกิต กายู ฮิตัม ซึ่งมีประตูทางเข้าคับแคบและมีเพียง 1 ช่องการจราจร อีกทั้งรถบรรทุกที่จะเลี้ยวขวาเข้า Truck Terminal จะต้องเลี้ยวหักมุม 90 องศา ทำให้รถบรรทุกขนาดใหญ่แต่ละคันต้องใช้เวลานานในการเข้าสู่ Truck Terminal ทำให้รถบรรทุกสินค้าขาออกของไทยบริเวณด่านสะเดาไปยังประเทศมาเลเซียติดขัดเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร
ในการลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์การค้าชายแดนในครั้งนี้ กรมฯ จะประชุมหารือกับหน่วยงานในพื้นที่เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาความแออัดของทั้งสองด่าน ถึงแม้ว่าปัจจุบันความแออัดของด่านสะเดาลดลงไปมาก จากการที่ผู้ประกอบการเริ่มย้ายฐานการส่งออกไปยังด่านปาดังเบซาร์ของไทยมากขึ้น เนื่องจากมีระบบเอ็กซเรย์ตู้คอนเทนเนอร์ ประกอบกับด่านปาดังเบซาร์ของทางมาเลเซียมีระบบยกตู้คอนเทนเนอร์ไปยังท่าเรือปีนังที่สะดวก ทำให้ผู้ประกอบการที่จะขนส่งสินค้าไปยังปีนังนิยมใช้ด่านปาดังเบซาร์มากกว่า
ส่วนด่านบ้านประกอบ กรมฯ เร่งผลักดันให้ผู้ประกอบการไทยใช้ประโยชน์จากด่านบ้านประกอบให้มากยิ่งขึ้น ซึ่งด่านบ้านประกอบมีความพร้อมให้บริการพิธีการศุลกากรและมีสิ่งอำนวยความสะดวกเทียบเท่าด่านสะเดาและด่านปาดังเบซาร์ อีกทั้งยังมีศักยภาพสามารถตรวจปล่อยรถบรรทุกสินค้าได้โดยใช้เวลาเพียง 10 นาที แต่ยังมีผู้ประกอบการยังมาใช้บริการไม่มากนัก เนื่องจากยังไม่มีอุปกรณ์ยกตู้คอนเทนเนอร์ขนาด 40 ฟุต ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการบางส่วนยังต้องไปใช้บริการด่านสะเดาและด่านปาดังเบซาร์ในการขนส่งสินค้า
มูลค่าการค้าชายแดนระหว่างไทย-มาเลเซีย ปี 2561 (ม.ค.-ก.ย.) มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 426,193 ล้านบาท แบ่งเป็นการนำเข้ามูลค่า 221,410 ล้านบาท และการส่งออก 204,783 ล้านบาท โดยมูลค่าการค้าชายแดนของทั้ง 3 ด่าน (ด่านสะเดา ด่านปาดังเบซาร์ และด่านบ้านประกอบ) ปี 2561 (ม.ค.-ก.ย.) รวมกันทั้งสิ้น 419,635 ล้านบาท คิดเป็น 98.46% ของมูลค่าการค้าชายแดนระหว่างไทย-มาเลเซีย แบ่งเป็นด่านสะเดา มูลค่า 278,964 ล้านบาท ด่านปาดังเบซาร์ มูลค่า 139,344 ล้านบาท และด่านบ้านประกอบ 1,327 ล้านบาท
ทั้งนี้ ด่านบ้านประกอบ เป็นด่านที่มีผู้มาใช้บริการเพิ่มมากขึ้นและมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้ส่งออกอาหารทะเลแช่แข็ง โดยมูลค่าการค้าของด่านบ้านประกอบ ปี 2559 มีมูลค่า 887 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 75.35%) ปี 2560 มีมูลค่า 1,221 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 71.57%) ปี 2561 (ม.ค.-ก.ย.) มีมูลค่า 1,327 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 13.03%) ซึ่งมูลค่าการค้าของด่านบ้านประกอบมีอัตราเพิ่มขึ้นมากที่สุด เมื่อเทียบกับด่านอื่นๆ ของประเทศไทยที่มีการค้ากับประเทศมาเลเซีย สินค้านำเข้า 3 อันดับแรก ได้แก่ ผัก ผลิตภัณฑ์พลาสติก และสัตว์น้ำ ส่วนสินค้าส่งออก 3 อันดับแรก ได้แก่ สัตว์น้ำ ไก่ และยางพารา