พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในโอกาสที่นักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่จำนวน 500 คน เข้าพบ พร้อมนำเสนอการจัดกิจกรรม "นักวิทย์รุ่นใหม่ นำไทยไปด้วยกัน"
พร้อมนำเสนอรายละเอียดของสมุดปกขาว ในการขับเคลื่อนประเทศไทยในด้านต่างๆ ภายในระยะเวลา 20 ปี อาทิ ด้านอาหาร การแพทย์และสาธารณสุข ด้านพลังงาน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การกำหนดเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญในการเดินหน้าประเทศให้หลุดพ้นจากประเทศมีรายได้ปานกลางและประเทศที่มีความขัดแย้ง ซึ่งต้องศึกษาทั้งเรื่องวิทยาศาสตร์ธรรมชาติและวิทยาศาสตร์ประยุกต์ แต่ประเทศไทยไม่ได้ประสบปัญหาภัยธรรมชาติ อาจทำให้ความเป็นนักคิดของหลายคนหายไป ดังนั้นต้องไปศึกษาดูแนวคิดทางวิทยาศาสตร์จากต่างประเทศ และเพิ่มการเรียนรู้ ซึ่งตนเองและรัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้ และอยากให้ประเทศไทยมีรายได้สูงขึ้น ซึ่งประเทศส่วนใหญ่ที่มีรายได้สูง เป็นเพราะมีนวัตกรรม เทคโนโลยี ถือเป็นความแตกต่างกับประเทศที่มีรายได้น้อยที่ไม่มีการพัฒนาในเรื่องนวัตกรรมเทคโนโลยี
"วันนี้แม้แต่ภาคการเกษตรก็ขาดแรงงาน เพราะมีแต่ผู้สูงอายุ อยากให้นักวิทยาศาสตร์ช่วยคิดว่าจะช่วยสิ่งเหล่านี้ด้วยวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร ให้เดินตามไทยแลนด์ 4.0 สร้างมูลค่าเพิ่มให้ภาคการเกษตร นำไปสู่การจัดสรรงบประมาณของภาครัฐ ไม่ใช่ทุกคนไปวุ่นวายคิดแต่เรื่องการเมือง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการแก้ปัญหาการทำผังเมืองและการจราจรในเมืองใหญ่มาตลอด แต่ก็ยังมีปัญหาและบางเรื่องก็ไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชน เพราะทุกคนคิดว่าทุกอย่างต้องเป็นประชาธิปไตย ดังนั้นขอให้นักวิทยาศาสตร์ไปช่วยคิดว่าจะทำอย่างไรให้ช่วยเปลี่ยนความคิด หรือสร้างยีนให้มีความร่วมมือเกิดขึ้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลขอให้กำลังใจงานของนักวิทยาศาสตร์ที่ทำเพื่อคนอื่นและอนาคตประเทศ และพร้อมสนับสนุนงบประมาณให้กับงานวิจัย และใน 5 ปีข้างหน้า นักวิทยาศาสตร์ต้องพัฒนาผลักดันสิ่งที่นำเสนอให้เกิดขึ้นให้ได้ พร้อมระบุว่า ตอนนี้มีการปรับแก้เรื่องการใช้กัญชามาใช้ในการรักษาโรค ซึ่งบางคนพูดไปไกล เรื่องที่ต่างประเทศให้ประชาชนสามารถเสพกัญชาได้ ซึ่งไทยยังทำแบบนั้นไม่ได้ ขอเรื่องรักษาโรคให้ได้ก่อน ไม่เช่นนั้นก็หัวเราะกันทั้งวัน
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เมื่อวานนี้ (30 ต.ค.) ได้ไปรับชมการแสดงโขนรามเกียรติ์ ตอน "พิเภกสวามิภักดิ์" พร้อมระบุว่า หลายคนเปรียบเทียบว่าตนเองมาอยู่ตรงนี้ เป็นการสวมหัวโขน ซึ่งเป็นธรรมดา บางครั้งก็ทำหลายหน้าที่ แต่ยืนยันตนเองเป็นคนใจดี ไม่ใช่ผู้ร้าย และยืนยันว่าการใช้ออกคำสั่งตามมาตรา 44 เพื่อไม่ให้บ้านเมืองสับสนอลหม่าน และต้องการให้ประเทศอยู่รอดปลอดภัย