นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาในงาน Forbes Global CEO Conference ว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 62 จะเป็นอย่างไรยังไม่สามารถประเมินได้ในตอนนี้ แต่ภาครัฐยังคงพยายามสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าโดยส่วนตัวจะมองว่าเศรษฐกิจโลกในปีหน้าจะไม่ดีแน่นอน และตัวเลขของเศรษฐกิจโลกอาจจะหดตัว จากการตกลงการทำสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ยังไม่มีความชัดเจนที่แน่นอนออกมา แต่อยากให้ทุกคนไม่ประมาทและระมัดระวังให้มาก เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่ไม่อาจควบคุมได้มากระทบ
โดยเรื่องการทำการค้าและการส่งออกนั้น ได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์เข้าไปเปิดตลาดใหม่ๆ โดยเฉพาะการเปิดตลาดใหม่ในประเทศจีนที่จะเจาะเข้าไปสู่ระดับมณฑล ซึ่งหากทำได้ถือว่ามีโอกาสมากที่การทำการค้าของไทยจะเข้าถึงกลุ่มคนในประเทศจีนมากขึ้น อีกทั้งสิ่งที่สำคัญ คือ การควบคุมต้นทุน ที่แนวโน้มของราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าและบริการ ทำให้ทุกภาคส่วนจะต้องมีการพิจารณาควบคุมต้นทุนให้มีความเหมาะสม
นอกจากนี้ ในด้านการค้าขายกับประเทศอื่นๆ ทางภาครัฐจะเน้นการจับมือกับประเทศอื่นๆ ในเชิง Stategic Partner มากกว่าการใช้มาตรการยกเว้นภาษี หรือการทำข้อตกลงเสรีการค้า (FTA) เพราะการใช้ FTA เป็นสิ่งที่ส่งผลกระทบและกดดันต่อการค้าขายของผู้ประกอบการในประเทศ รวมถึงเกษตกรที่ได้รับความเดือดร้อน แต่การเป็น Stategic Partner จะเป็นการช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันทั้งการร่วมลงทุนและการค้าขาย เช่น การจับมือกับประเทศจีนในการร่วมลงทุนโครงการ One Belt One Road เพื่อเชื่อมต่อเส้นทางการขนส่งทางราง และการทำ Submarine Gateway จากไทยไปฮ่องกง ที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของเน็ตเวิร์คในอาเซียน และการสร้าง Master Plan ร่วมกันระหว่างจีน ญี่ปุ่น และไทย ที่จะเข้ามาลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทยและสมาร์ทซิตี้ในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นต้น
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจัยที่ช่วยผลักดันการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 62 ได้อย่างมีนัยสำคัญ คือ การลงทุนภาครัฐ ที่จะเป็นตัวนำทำให้เกิดการลงทุนภาคเอกชนและการลงทุนจากต่างประเทศตามมา ทำให้ลดแรงกดดันจากปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยได้ นอกจากนี้ รัฐบาลยังคงให้ความสำคัญกับภาคการท่องเที่ยว แม้ว่าปัจจุบันการท่องเที่ยวไทยจะลดลงไปมาก หลังจากเกิดเหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ต แต่ปัจจุบันภาครัฐกำลังเร่งทำความเข้าใจกับนักท่องเที่ยวต่างชาติและปรับปรุงการท่องเที่ยวให้ดียิ่งขึ้น และส่งเสริมการท่องเที่ยวหัวเมืองรองที่จะช่วยกระจายรายได้ไปยังประชากรในพื้นที่ต่างๆ มากขึ้น เพื่อยกระดับรายได้ของประชากรในทุกพื้นที่ให้สูงขึ้น ทำให้ความยากจนลดลง และจะช่วยให้ความสามารถในการซื้อของคนในประเทศกลับมามีมากขึ้น ทำให้ประเทศไทยลดการพึ่งพิงจากภาคการส่งออกลง โดยที่ภาครัฐมีความมุ่งหวังการปรับสมดุลระหว่างการบริโภคในประเทศ และการส่งออกให้สมดุลกัน ซึ่งการท่องเที่ยวเป็นสิ่งที่สำคัญในการสร้างรายได้ให้กับประชาชนในประเทศใหมเพิ่มขึ้น และภาคการท่องเที่ยวเป็นส่วนหนึ่งของภาคบริการที่ภาครัฐต้องการเน้นและให้ความสำคัญพอๆ กับโลจิสติกส์และการเงิน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของภาคการบริการที่ภาครัฐเน้น
นายสมคิด ยังกล่าวด้วยว่า ในส่วนของการจัดการเลือกตั้งที่มีความคืบหน้ามากขึ้น แต่ยังมีนักลงทุนบางส่วนยังคงไม่มั่นใจว่าหลังจากการเลือกตั้งแล้ว แผนการลงทุนต่างๆ จะต่อเนื่องจากรัฐบาลชุดปัจจุบันหรือไม่ จึงอยากให้นักลงทุนมั่นใจว่าแผนการลงทุนในโครงการต่างๆ ที่ได้ประกาศออกไปแล้วยังคงเดินหน้าต่อไป และหากจะมีการยกเลิกแผนการลงทุนคงทำได้ยาก เพราะต้องผ่านการพิจารณาจากหลายหน่วยงาน
ดังนั้นขอให้นักลงทุนมั่นใจได้ว่าสิ่งที่รัฐบาลในชุดปัจจุบันได้อนุมัติไปแล้วจะดำเนินการไปจนแล้วเสร็จ และช่วยเสริมศักยภาพให้กับประเทศเติบโตได้อย่างยั่งยืน และมีศักยภาพและขีดความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น พร้อมมองว่าช่วยดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนให้เข้ามามาก โดยเฉพาะเม็ดเงินที่จะเข้ามาในตลาดหุ้นไทยที่นักทุนต่างมองตลาดหุ้นไทยเป็นประเทศที่เป็นแหล่งพักเงินดีที่สุดแห่งหนึ่ง และมีผลกระทบจากความผันผวนจากปัจจัยภายนอก และบริษัทจดทะเบียนไทยที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีความแข็งแกร่งและมีคุณภาพสูง ทำให้ตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นตลาดหุ้นที่นักลงทุนให้ความสนใจ แม้ว่าจะมีขนาดเล็กกว่าตลาดหุ้นสิงคโปร์ แต่เริ่มมีขนาดที่ใกล้กับตลาดหุ้นสิงคโปร์แล้ว
ด้านเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศไทยถือว่ามีเสถียรภาพมากขึ้นในช่วง 3-4 ปีหลัง ทำให้ประเทศมีความเข้มแข็ง และการดำเนินนโยบายต่างๆ ของภาครัฐที่มุ่งมั่นปรับเปลี่ยนประเทศให้ก้าวหน้ามากขึ้น ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบหลาย 10 ปีที่ผ่านมา ที่มีรัฐบาลที่มีความมุ่งมั่นและจริงจังในการดำเนินนโยบายต่างๆ โดยเฉพาะการลงทุนของภาครัฐในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ปัจจุบันมีการอนุมัติโครงการลงทุนขนาดใหญ่ต่างๆ ออกมา เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในทิศทางใหม่ๆ และเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศ เช่น การลงทุนรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน, การลงทุนโครงการท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือมาบตาพุด เฟส 3 และโครงการรถไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งโครงการลงทุนที่ได้ทยอยออกมาเป็นการสร้างรากฐาน เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการก้าวไปข้างหน้าของประเทศไทย และเปลี่ยนรูปแบบของอุตสาหกรรมเป็นรูปแบบใหม่
"การดำเนินงานของภาครัฐชุดปัจจุบันที่จริงจังอย่างมาก ส่งผลให้ประเทศไทยหายจากการเป็นผู้ป่วยแห่งอาเซียนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากความไม่สงบทางการเมืองและสังคม ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยถดถอยลง โดยที่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทย (GDP) ลดลงเหลือขยายตัวต่ำกว่า 1% แต่ปัจจุบันสามารถกลับมาเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดที่ 4.8% และประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่ได้รับการปรับเพิ่มตัวเลข GDP จาก IMF และ ADB ในขณะที่ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยมีความเข้มแข็งอย่างมาก โดยมีหนี้สินต่างประเทศคิดเป็น 40% ของ GDP มีทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับที่สูงกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีดุลบัญชีเดินสะพัด และดุลบัญชีชำระเงินที่เข้มแข็ง ทำให้ปัจจุบันความเชื่อมั่นจากนักลงทุนในและต่างประเทศต่อประเทศไทยมีมากขึ้น" นายสมคิด กล่าว