นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า กรมฯ มีแผนจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาเห็นชอบการเก็บภาษีจากสินค้าที่มีไขมันและความเค็มในปริมาณที่มาก ซึ่งถือเป็นต้นเหตุสำคัญในการทำลายสุขภาพ โดยเบื้องต้นการเก็บภาษีจากสินค้าที่มีไขมันและความเค็มมากนั้น จะยึดรูปแบบเดียวกับแนวทางการจัดเก็บภาษีจากความหวาน
"กรมสรรพสามิตมีแผนที่จะปรับเปลี่ยนบทบาทการเก็บภาษี จากเป็นกรมที่เก็บภาษีจากสินค้าบาปเป็นหลัก มาเป็นกรมที่เก็บภาษีจากสินค้าที่ส่งเสริมให้ประชาชนมีสุขภาพที่ดีขึ้น โดยที่ผ่านมามีการเก็บภาษีสรรพสามิตสินค้าที่มีน้ำตาลมาก และต่อไปจะเสนอให้ ครม. เห็นชอบเก็บภาษีสินค้าที่มีไขมันและความเค็มมาก ซึ่งเป็นอีกต้นเหตุสำคัญในการทำลายสุขภาพ" นายพชร กล่าว
สำหรับแนวทางเบื้องต้น จะให้เวลาผู้ประกอบการในการปรับตัว เช่น ให้เวลา 5 ปี หลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ ซึ่งหากผู้ประกอบการสามารถลดปริมาณไขมันและความเค็มได้ ก็จะมีการปรับลดอัตราภาษีลงให้ แต่หากไม่สามารถลดได้ก็จะต้องเสียภาษีในอัตราที่กำหนดไว้ และหากเกินกว่าระยะเวลาที่กำหนดแล้วผู้ประกอบการยังไม่สามารถลดปริมาณไขมันและความเค็มลงได้ก็จะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น เป็นต้น ซึ่งเชื่อว่าแนวทางการจัดเก็บภาษีดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบกับผู้บริโภค