นายอดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้จัดคณะผู้แทนลงพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี ระหว่างวันที่ 11 – 13 พฤศจิกายน 2561 เพื่อศึกษาดูงานและติดตามสถานการณ์การค้าชายแดนไทย-เมียนมา รวมทั้งประชุมร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าสินค้าเกษตรสำคัญ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง เป็นต้น นอกจากนี้ อีกทั้งยังลงพื้นที่ศึกษาดูงานตลาดการค้าชายแดนด่านเจดีย์สามองค์ ตลาดการค้าชายแดนพญาตองซู อ.พญาตองซู เมียนมา พร้อมจัดสัมมนาให้ความรู้ เรื่อง "โลจิสติกส์ชายแดนไทย-เมียนมา โอกาสทองการค้าชายแดน" เพื่อสร้างองค์ความรู้และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย และเจ้าหน้าที่ภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องให้สามารถขยายมูลค่าการค้าการลงทุนได้เพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ กรมฯ ยังได้เล็งเห็นความสำคัญของนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดให้ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษบริเวณชายแดน เพราะสามารถเชื่อมโยงกับเมียนมาและอินเดีย ซึ่งเป็นตลาดการค้าที่สำคัญและมีประชากรกว่า 1.4 พันล้านคน และมีด่านทางการค้าที่สำคัญ ได้แก่ ด่านเจดีย์สามองค์และด่านบ้านพุน้ำร้อน ในปัจจุบันเมียนมาได้ปิดด่านพญาตองซู ซึ่งตรงข้ามกับด่านเจดีย์สามองค์ อ.สังขละบุรี ส่วนด่านบ้านพุน้ำร้อนที่ตรงข้ามกับด่านบ้านทิกิฝั่งเมียนมา ที่สามารถเชื่อมต่อไปเมืองทวาย ซึ่งมีระยะทางเพียง 140 กม. แต่ถนนยังเป็นลูกรัง ไม่สะดวกในการขนส่ง และยังไม่สามารถเดินทางได้ในช่วงฤดูฝน ถ้าได้รับการพัฒนาให้ได้มาตรฐานจะใช้ระยะเวลาเพียง 2 ชั่วโมง จากเดิม 5-6 ชั่วโมง ในการเดินทาง นอกจากนี้ หากโครงการมอเตอร์เวย์บางใหญ่-กาญจนบุรีแล้วเสร็จ คาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการค้าการลงทุนบริเวณชายแดนให้เพิ่มสูงยิ่งขึ้น เพราะมีระบบคมนาคมที่รองรับความสะดวกและรวดเร็วในการขนส่งสินค้าของผู้ประกอบการไทย
นายอดุลย์ กล่าวว่า มูลค่าการค้าชายแดนของไทยกับเมียนมา ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2561 (ม.ค-ก.ย.) มีมูลค่ากว่า 143,884 ล้านบาท โดยพบว่าจังหวัดกาญจนบุรี มีมูลค่าการค้าชายแดนกว่า 54,904 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึงร้อยละ 18.72 มูลค่ากว่า 55,062 ล้านบาท ทั้งนี้ กรมฯ ได้เร่งดำเนินการเพื่อส่งเสริม และผลักดันการค้าชายแดนไทย-เมียนมา ให้ขยายตัวเพิ่มมากขึ้น โดยร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ของจังหวัดกาญจนบุรี ภายใต้นโยบายการค้าชายแดน "Stronger Together" ขยายตัวอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตลอดจนการประชาสัมพันธ์สร้างความรู้ความเข้าใจให้ผู้ประกอบการดำเนินการได้อย่างถูกต้อง และส่งเสริมการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี FORM-D การนำเข้าไม้และผลิตภัณฑ์ มะพร้าว และผักผลไม้ เป็นต้น