กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ในการประชุมวันที่ 14 พฤศจิกายน โดยเรามองว่ามีโอกาสที่กนง.จะเสียงแตกมากขึ้นในการลงมติเทียบกับผลโหวต 5 ต่อ 2 เสียงในการประชุมเมื่อเดือนกันยายน แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยจะทรงตัวที่ระดับต่ำ แต่ความเสี่ยงด้านเสถียรภาพในระยะยาวเริ่มสะสมความเปราะบางสะท้อนจากพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น ซึ่งขาดการประเมินความเสี่ยงที่แท้จริงจากการลงทุน อีกทั้ง กนง.ต้องการรักษาขีดความสามารถในการดำเนินนโยบายการเงิน (Policy Space) ในระยะข้างหน้า เราคาดว่าทางการจะตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 1.75% ในเดือนธันวาคม 2561 หากการชะลอตัวของภาคส่งออกอยู่ในระดับที่ยังสามารถประคับประคองได้
นอกจากนี้ มองว่า ตลาดจะให้ความสนใจการยื่นร่างงบประมาณฉบับใหม่ของรัฐบาลอิตาลีต่อสหภาพยุโรป รวมถึงข้อมูลเงินเฟ้อและยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ โดยล่าสุดเฟดแสดงความเชื่อมั่นในภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงการจ้างงาน การจับจ่ายใช้สอยของภาคครัวเรือนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจซึ่งสนับสนุนการคาดการณ์ของเฟดเรื่องแนวทางขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ทั้งนี้ เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว 3 ครั้งในปีนี้ และมีแนวโน้มจะปรับขึ้นอีกครั้งในการประชุมวันที่ 18-19 ธันวาคม โดยเฟดระบุว่าเงินเฟ้ออยู่ใกล้เป้าหมายที่ระดับ 2% รวมทั้งการว่างงานลดลง และความเสี่ยงต่อทิศทางเศรษฐกิจอยู่ในภาวะสมดุล
อนึ่ง แถลงการณ์ครั้งนี้ไม่ได้ระบุถึงความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯ และไม่ได้ระบุถึงโอกาสที่เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงในปี 2562 อย่างไรก็ดี เฟดตั้งข้อสังเกตเรื่องการลงทุนของภาคธุรกิจที่แผ่วลงในระดับปานกลาง
สำหรับในสัปดาห์นี้ BAY มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ 32.90-33.25 ต่อดอลลาร์ เทียบกับระดับปิดอ่อนค่าที่ 33.02 ต่อดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แม้ว่านักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย 2.1 พันล้านบาท แต่ขายพันธบัตร 1.9 พันล้านบาท ส่วนเงินดอลลาร์แข็งค่าเทียบกับเงินยูโรและเงินเยน หลังจากผลเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ เป็นไปตามคาด โดยพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร ส่วนพรรครีพับลิกันยังคงครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาได้ต่อไป ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ลงมติอย่างเป็นเอกฉันท์ให้ตรึงอัตราดอกเบี้ยในช่วง 2.00-2.25% และยังคงประเมินภาวะเศรษฐกิจในเชิงบวก