ภาวะตลาดเงินบาท: ปิด 33.08/12 ทรงตัวจากช่วงเช้า-ไร้ปัจจัยสำคัญ คาดกรอบพรุ่งนี้ 33.00-33.20 นลท.จับตาประชุมกนง.พุธนี้

ข่าวเศรษฐกิจ Monday November 12, 2018 17:35 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้อยู่ที่ระดับ 33.08/12 บาท/ดอลลาร์ ใกล้เคียง จากช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 33.07/11 บาท/ดอลลาร์

วันนี้เงินบาทยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบที่ไม่กว้างมากนัก โดยระหว่างวันเงินบาท low สุดที่ระดับเปิดในช่วงเช้า และ high สุดในช่วงบ่ายที่ระดับ 33.14/18 บาท/ดอลลาร์

อย่างไรก็ดี วันนี้ยังไม่มีปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทมากนัก ซึ่งตลาดจะรอดูปัจจัยในประเทศที่ สำคัญ คือ ผลประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันพุธนี้

"วันนี้บาทก็เคลื่อนไหวในกรอบ แต่จะมาทำ high ในช่วงบ่าย หลังจากที่ตลาดยุโรปเปิด ซึ่งเงินยูโรอ่อนค่าลงไปเมื่อ เทียบกับดอลลาร์สหรัฐ" นักบริหารเงินระบุ

นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 33.00 - 33.20 บาท/ดอลลาร์

  • ปัจจัยสำคัญ
  • เย็นนี้เงินเยนอยู่ที่ระดับ 113.80/114.00 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 113.95 เยน/ดอลลาร์
  • ส่วนเงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.1243/1264 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.1324 ดอลลาร์/ยูโร
  • ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,654.85 จุด ลดลง 13.67 จุด (-0.82%) มูลค่าการซื้อขาย 28,826 ล้านบาท
  • สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 916.34 ลบ.(SET+MAI)
  • กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า มี
แนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 32.90-33.25 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับระดับปิดอ่อนค่าที่ 33.02 บาท/ดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พร้อม
มองว่าตลาดจะให้ความสนใจการยื่นร่างงบประมาณฉบับใหม่ของรัฐบาลอิตาลีต่อสหภาพยุโรป รวมถึงข้อมูลเงินเฟ้อและยอดค้าปลีกของ
สหรัฐฯ สำหรับปัจจัยภายในประเทศ คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50%
ในการประชุมวันที่ 14 พ.ย. และมองว่ามีโอกาสที่กนง.จะเสียงแตกมากขึ้นในการลงมติเทียบกับผลโหวต 5 ต่อ 2 เสียงในการ
ประชุมเมื่อเดือนก.ย.
  • ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 3/61 ขยายตัวอยู่ที่ 6.3%
จากไตรมาสก่อนที่ขยายตัว 5.4% โดยเป็นการขยายตัวต่อเนื่องสอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจ และเป็นการขยายตัวจากสิน
เชื่ออุปโภคบริโภคเป็นสำคัญ พร้อมคาดว่าทั้งปี 61 สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์จะขยายตัวได้ราว 6-8% อย่างไรก็ดี ผลบวกของ
เศรษฐกิจยังไม่ส่งผ่านไปยังคุณภาพสินเชื่อของลูกหนี้บางกลุ่ม โดยเฉพาะธุรกิจ SME ทำให้ภาพรวมของสัดส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิด
รายได้ (NPL) ในไตรมาส 3/61 ยังทรงตัว โดยอยู่ที่ 2.94% จากไตรมาสก่อนหน้าที่ 2.93% ทั้งนี้ ระบบธนาคารพาณิชย์ยังมี
เสถียรภาพ มีเงินสำรอง เงินกองทุน และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง สามารถรองรับการขยายตัวของสินเชื่อในระยะต่อไปได้
  • ธปท. คาดการณ์ว่า สินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ในปีนี้ จะขยายตัวได้ราว 6-8% โดยมีผลกำไรจากการดำเนิน
งานอยู่ที่ 1.04 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.3% และเป็นกำไรสุทธิ 5.1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.5% อย่างไรก็ดี มองว่าในปีนี้สินเชื่อ
อสังหาริมทรัพย์จะไม่ได้เร่งตัวมากนักจากผลของมาตรการที่ ธปท.จะมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ แต่
การเร่งตัวจะเป็นไปตามภาวะปกติของสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส
  • รมช.พาณิชย์ เตรียมลงนามบันทึกความร่วมมือระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจยูเร
เชีย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความร่วมมือด้านต่างๆ ที่จะนำไปสู่การยกระดับความสัมพันธ์ด้านการค้าและการลงทุน ขจัดอุปสรรคทางการค้า
และการลงทุน ตลอดจนสร้างความร่วมมือที่ใกล้ชิดในสาขาต่างๆ เช่น นโยบายการค้า พลังงาน กฎระเบียบด้านศุลกากร มาตรฐาน
การตรวจสอบ และการรับรองมาตรฐานสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช การเงิน ขนส่ง อุตสาหกรรมเกษตร นโยบายแข่งขันทางการค้า
ทรัพย์สินทางปัญญา การคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค เศรษฐกิจดิจิทัล การค้าบริการและการลงทุน การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ เป็นต้น ซึ่ง
สอดคล้องกับนโยบายการค้าระหว่างประเทศของไทยที่มุ่งแสวงหาโอกาสทางการค้าและการลงทุนในตลาดใหม่ รวมทั้งปูทางไปสู่การ
จัดทำความตกลงการค้าเสรีกับ EAEU ในอนาคต
  • สำนักงานปริวรรตเงินตราแห่งรัฐของจีน (SAFE) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้ สถาบันการเงินของจีน
ซึ่งรวมถึงธนาคาร บริษัทประกัน และบริษัทหลักทรัพย์ ได้รับเม็ดเงินไหลเข้าจากการลงทุนของต่างประเทศรวม 2.9 พันล้าน
ดอลลาร์ ขณะที่มีเม็ดเงินไหลออก 2.64 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้มีเม็ดเงินสุทธิจาก FDI จำนวน 258 ล้านดอลลาร์ นอกจากนี้
กระทรวงพาณิชย์จีน รายงานว่าในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ บริษัทต่างชาติรายใหม่ที่เข้ามาดำเนินกิจการในจีน มีจำนวนพุ่งขึ้นถึง
95.1% แตะที่ระดับ 45,922 ราย
  • นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น สั่งการให้คณะรัฐมนตรีดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าอุปสงค์ภายใน
ประเทศจะยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ก่อนหน้าการปรับขึ้นภาษีการบริโภคที่มีกำหนดบังคับใช้อย่างเป็นทางการในเดือนตุลาคมปี 62
พร้อมระบุว่า การติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างใกล้ชิด จะทำให้เราสามารถดำเนินมาตรการตอบ
สนองได้อย่างเหมาะสม เพื่อรักษาแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ
  • รัฐมนตรีจาก 16 ประเทศทั่วเอเชียแปซิฟิก ซึ่งรวมถึงญี่ปุ่น จีน และอินเดีย ได้เปิดฉากการเจรจาในวันนี้ที่สิงคโปร์
เพื่อเร่งหาข้อสรุปในบางส่วนของข้อตกลงการค้าเสรีให้ทันก่อนสิ้นปี
  • รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของประเทศสมาชิกสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ได้

ร่วมลงนามในข้อตกลงด้านอีคอมเมิร์ซในวันนี้ เพื่อสนับสนุนการค้าแบบไร้กระดาษระหว่างหน่วยงานธุรกิจและหน่วยงานรัฐบาลต่างๆ

ในอาเซียน เพื่อให้การทำธุรกรรมระหว่างกันเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ