ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ อาจทำให้เกิดการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนจากจีนไปยังประเทศที่ไม่ได้รับผลกระทบ แต่อานิสงส์ทางตรงจะเกิดขึ้นต่อไทยในระดับที่จำกัด เนื่องจากไทยไม่ได้อยู่ในฐานะผู้รับการลงทุนที่ใช้แรงงานเข้มข้น ขณะที่สินค้าที่ใช้เทคโนโลยีซับซ้อนขึ้นหลากหลายประเภทของจีนยังคงมีความได้เปรียบทางการแข่งขันทางด้านราคาจนยากที่จะเกิดการเบี่ยงเบนการลงทุน โดยไทยอาจได้อานิสงส์เฉพาะการลงทุนในสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีซับซ้อนในผลิตภัณฑ์ที่ไทยนับได้ว่ามีศักยภาพในการแข่งขันค่อนข้างสูงในเวทีโลก ซึ่งคาดว่ากระจุกอยู่ในสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อย่าง HDDs, ICs, PCB นอกจากนี้สินค้าที่ไทยมีความได้เปรียบทางด้านวัตถุดิบ เช่น การแปรรูปยางพารา ซึ่งจีนนำเข้าวัตถุดิบจากไทยเพื่อไปผลิตต่อและส่งออกไปสหรัฐฯ ก็อาจมีการย้ายฐานการผลิตมาไทยเพิ่มเติมได้ ส่วนอานิสงส์ทางอ้อมจะมีผ่านการส่งออกสินค้าขั้นกลาง เช่น เม็ดพลาสติกหรือสิ่งทอเพื่อนำไปผลิตเป็นสินค้าปลายน้ำในกลุ่ม CLMV ที่อาจได้อานิสงส์ FDI ในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้นมากขึ้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า ผลบวกทางตรงของการกระจายฐานการผลิตสินค้าที่มีมูลค่าสูงในไทย ไม่ว่าจะเป็น บรรษัทต่างชาติที่ประกาศเจตนารมณ์แล้วและบางส่วนที่มีแนวโน้มย้ายฐานมาไทยเพิ่มจากสงครามการค้าอาจช่วยเพิ่มมูลค่า FDI ในไทยในช่วง 3 ปีแรกของสงครามการค้า (2562-2564) ได้อย่างน้อย 800 ล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งคิดเป็นเพียงราว 1% ของเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิโดยเฉลี่ยต่อปีในไทยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2558-2560) เท่านั้น
เนื่องจากนโยบายการค้าเสรีที่ดำเนินการมาเป็นระยะเวลานานก่อให้เกิดการย้ายฐานการผลิตจนนำไปสู่การพัฒนาห่วงโซ่อุปทานโลก (Global Value Chain: GVC) ที่ซับซ้อน ขณะที่สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่กำลังคุกรุ่นในปัจจุบัน หรือแม้กระทั่งนโยบายเศรษฐกิจแบบปกป้องการค้าของสหรัฐฯ ที่มีต่อประเทศอื่นๆ ได้สร้างความไม่แน่นอน (Uncertainty) ให้เกิดขึ้นต่อภาพรวมการค้าการลงทุนของโลก โดยเฉพาะในประเทศจีนที่นับได้ว่าเป็นจุดเชื่อมโยงสำคัญของห่วงโซ่การผลิตโลกในฐานะผู้ผลิตรายใหญ่ ซึ่งจะกระทบกับการปรับเปลี่ยนห่วงโซ่การผลิตในภูมิภาคต่อไป
"สงครามการค้าอาจทำให้เกิดการกระจายการลงทุนออกจากจีนในสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นนอกเหนือจากการย้ายฐานการผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้นเหมือนในอดีต อย่างไรก็ดีผลบวกต่อไทยคงอยู่ในระดับที่จำกัด" เอกสารเผยแพร่ ระบุ
การที่จีนเป็นจุดศูนย์กลางของสงครามการค้าในครั้งนี้ ประกอบกับการที่จีนอยู่ในฐานะศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญในภูมิภาคเอเชีย บรรษัทที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในจีนย่อมพิจารณาบริหารความเสี่ยงทางธุรกิจผ่านการกระจายการลงทุนโดยตรง หรือแม้กระทั่งการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศหรือกลุ่มประเทศที่ไม่ได้รับการกีดกันทางการค้าโดยตรงจากสงครามการค้า หากพิจารณาถึงภูมิภาคที่สามารถเลือกลงทุนทดแทนจีนได้นั้น ภูมิภาคอาเซียนย่อมเป็นทางเลือกอันดับต้นๆ ไม่ว่าจะเป็น ที่ตั้งซึ่งอยู่ใกล้กับจีน มีความหลากหลายของระดับการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม มีข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับหลากหลายประเทศ อีกทั้งยังได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำจนก้าวขึ้นมามีส่วนร่วมในห่วงโซ่อุปทานโลกมากขึ้น
หากวิเคราะห์ฐานะทางการเงินจะพบว่า ถึงแม้ไม่มีสงครามการค้า บรรษัทข้ามชาติ (MNEs) ก็น่าจะยังคงพิจารณาทยอยปรับเปลี่ยนฐานการผลิตออกจากจีนอันเนื่องมาจากปัจจัยอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ต้นทุนการดำเนินงานในจีนที่สูงขึ้น ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่ส่งผลทำให้ความต้องการสินค้าประเภทเดิมที่เคยผลิตในจีนลดลง หากแต่สงครามการค้านับได้ว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจกระจายการลงทุนให้เกิดเร็วขึ้นกว่ากรณีที่ไม่มีสงครามการค้า เนื่องจาก MNEs เหล่านี้อาจต้องแบกรับภาระต้นทุนด้านภาษีที่เพิ่มขึ้นจากสงครามการค้าจนส่งผลเชิงลบต่ออัตรากำไรสุทธิของบริษัทซึ่งส่วนมากมีผลการดำเนินงานในจีนที่ค่อนข้างต่ำอยู่แล้ว
นอกจากนี้ การที่ MNEs มีฐานการผลิตอยู่แล้วทั้งในไทยและจีน โดยยังไม่มีฐานการผลิตในประเทศอื่นๆในอาเซียน อาทิ มาเลเซียหรือเวียดนามนั้น การเลือกตัดสินใจลงทุนในไทยในสินค้าประเภท E&E นับได้ว่าเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดจากปัจจัยทางด้านต้นทุนที่ค่อนข้างได้เปรียบ เนื่องจากต้นทุนคงที่ (Fixed cost) อาจต่ำกว่าการเลือกลงทุนใหม่ในประเทศที่ไม่เคยมีฐานการผลิตมาก่อน อีกทั้งต้นทุนผันแปร (Variable cost) ของการผลิตในไทยสำหรับอุตสาหกรรม E&E โดยรวมนั้นปัจจุบันนับได้ว่ามีต้นทุนที่ถูกกว่าในจีน ทั้งในแง่ของต้นทุนแรงงาน ต้นทุนสาธารณูปโภค ต้นทุนการขนส่งระหว่างประเทศ รวมทั้งอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล
"ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า การเลือกลงทุนในไทยในอุตสาหกรรม E&E จะช่วยลดต้นทุนได้ราว 3.8-4.4% เมื่อเทียบกับการผลิตในจีน และหากพิจารณาควบคู่กับอัตราภาษีนำเข้าภายใต้สงครามการค้าอีก 25% ที่ MNEs อาจต้องแบกรับ การผลิตในประเทศไทยจะยิ่งสร้างความคุ้มค่าการลงทุนในระยะยาวให้กับ MNEs" เอกสารเผยแพร่ ระบุ
การกระจายการลงทุนจากจีนดังกล่าวอาจมาพร้อมกับการเจาะตลาดใหม่เพิ่มเติม เพื่อลดความเสี่ยงด้านการกระจุกตัวด้านตลาดในประเทศใดประเทศหนึ่ง (Market concentration risk) โดยอาศัยความได้เปรียบที่ไทยมี FTA กับประเทศอื่นที่จีนไม่มี ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินว่า ผลบวกทางตรงในส่วนนี้จะคิดเป็นเม็ดเงินลงทุนอย่างน้อย 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
หากรวมผลบวกทางตรงของการกระจายฐานการผลิตสินค้าขั้นปลายน้ำและสินค้าขั้นกลางที่ซับซ้อนในไทยกับการกระจายการลงทุนในกลุ่มสินค้าที่ไทยมีความได้เปรียบทางด้านวัตถุดิบโดยตรง ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า FDI ที่ไทยจะได้รับในช่วง 3 ปีแรกของสงครามการค้าจะมีมูลค่าอย่างน้อย 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเพียงราว 1% ของเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิโดยเฉลี่ยต่อปีในไทยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (2558-2560) เท่านั้น อย่างไรก็ดี หากพิจารณาควบคู่กับผลกระทบด้านการค้าที่ไทยอาจได้รับจากสงครามการค้าที่เคยประเมินก่อนหน้านี้ ผลกระทบสุทธิ (Net impact) ต่อไทยยังคงอยู่ในเชิงลบ
ถึงแม้อานิสงส์โดยตรงจากการย้ายฐานการผลิตออกจากไทยจะมีค่อนข้างจำกัด ทว่า ไทยอาจได้อานิสงส์ทางอ้อม (Indirect benefit) เพิ่มเติม ผ่านการส่งออกสินค้าขั้นกลางเพื่อนำไปประกอบหรือผลิตเป็นสินค้าขั้นปลายน้ำในประเทศกลุ่ม CLMV ที่ได้อานิสงส์ทางตรงจากการกระจายการลงทุนเพิ่มเติมในภาคการผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้น โดยสินค้าขั้นกลางที่ไทยสามารถส่งออกไป CLMV ได้เพิ่มขึ้นกว่าในอดีต ได้แก่ สิ่งทอ เม็ดพลาสติก ซึ่งผู้ประกอบการในไทยส่วนใหญ่เป็นสัญชาติไทย ดังนั้น อานิสงส์ทางอ้อมนี้จะมีส่วนเสริมการลงทุนของภาคเอกชนไทยเพิ่มเติมในอุตสาหกรรมที่มีอัตราการใช้กำลังการผลิตสูงมากอยู่แล้วอย่าง เม็ดพลาสติก (ร้อยละ 97 ณ ไตรมาสที่ 3/2561) หรือมีส่วนช่วยกระตุ้นการผลิตให้มากขึ้นในอุตสาหกรรมที่มีอัตราการใช้กำลังการผลิตที่ค่อนข้างต่ำอย่าง สิ่งทอ (ร้อยละ 50 ณ ไตรมาสที่ 3/2561) เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการสินค้าขั้นกลางที่เพิ่มขึ้นจากกลุ่มประเทศ CLMV
แนวโน้มการกระจายการผลิตออกจากจีนนั้นมีแรงขับเคลื่อนสำคัญในระยะยาวมาจากการแสวงหาประเทศผู้รับการลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น อันเนื่องมาจากความได้เปรียบของจีนในด้านต้นทุนที่ถดถอยลงอย่างต่อเนื่อง โดยในระยะสั้น-กลาง สงครามการค้าจะเป็นตัวแปรที่ช่วยเร่งการกระจายการลงทุนและจะครอบคลุมอุตสาหกรรมที่หลากหลายกว่าอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น อันเป็นผลจากกำแพงภาษีภายใต้สงครามการค้านั้นครอบคลุมเกือบทุกผลิตภัณฑ์ในห่วงโซ่การผลิต โดยไทยอาจได้อานิสงส์จำกัดในการรับ FDI ในภาคการผลิตเพียงบางประเภทที่ไทยมีศักยภาพในการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ ใกล้เคียงหรือสูงกว่าจีนหรือได้เปรียบในด้านวัตถุดิบที่เพียบพร้อมภายในประเทศ ทว่าไทยอาจได้อานิสงส์เพิ่มเติมทางอ้อมผ่านการส่งออกสินค้าขั้นกลางไปยังประเทศที่ได้รับการกระจายการลงทุนในภาคการผลิตที่ใช้แรงงานเข้มข้น ซึ่งจะมีส่วนช่วยให้เกิดการกระตุ้นการใช้กำลังการผลิตภายในประเทศ
"ทิศทางการกระจายการลงทุนของ MNEs ไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมเป้าหมายของทางการไทยที่ต้องการผลักดันการลงทุนอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และหากพิจารณาประเภทสินค้าที่ไทยน่าจะได้รับอานิสงส์จากการกระจายการผลิตออกจากจีนนั้น สินค้าบางประเภทกำลังเสื่อมความนิยมลง โดยเฉพาะ HDDs ดังนั้นการกระจายการลงทุนออกจากจีนดังกล่าวไม่ได้มีส่วนช่วยยกระดับอุตสาหกรรมของไทยอย่างมีนัยสำคัญ" เอกสารเผยแพร่ ระบุ
นอกจากนี้ หากมองไปในระยะยาวนอกเหนือจากปัจจัยทางด้านสงครามการค้าที่กำลังจะเปลี่ยนบทบาทผู้รับการลงทุนในห่วงโซ่การผลิตของโลกแล้ว กระแสการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สี่ (The Fourth Industrial Revolution) ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กำลังจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการ ทั้งการเปลี่ยนแปลงด้านผลิตภัณฑ์ (Product change) และด้านกระบวนการดำเนินการ (Process change) นั้นจะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะกำหนดรูปแบบของ FDI ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น โครงสร้างห่วงโซ่มูลค่าที่อาจจะสั้นลง (Shortened value chain) ความคล่องตัวในการผลิตที่ต้องเพิ่มขึ้น (Higher agility of manufacturing systems) หรือแม้กระทั่งการนำเอาเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์เพื่อมาแก้ไขความท้าทายด้านค่าแรงที่สูงขึ้นและจำนวนแรงงานที่ลดลงจากการเข้าสู่สังคมสูงวัยจนอาจจะไม่ต้องอาศัยการกระจายฐานการผลิตไปยังประเทศที่มีค่าแรงถูกเหมือนในอดีต หรืออาจก่อให้เกิดการย้ายฐานการผลิตกลับประเทศผู้ลงทุนได้ (Home country) จึงนับเป็นปัจจัยท้าทายต่อสถานะผู้รับการลงทุนของอาเซียนและไทยที่ต้องเตรียมรับมืออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้