นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการ BOI ในวันนี้ ที่ประชุมเห็นชอบมาตรการพิเศษเพื่อกระตุ้นการลงทุนที่ขอรับการส่งเสริมภายในปี 62 โดยมุ่งเน้นส่งเสริมโครงการขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ต้องมีเงินลงทุนไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 1 พันล้านบาทในทุกประเภทกิจการ (ยกเว้นกิจการที่ไม่มีสถานประกอบการ เช่น กิจการขนส่งทางอากาศ กิจการขนส่งทางเรือ เป็นต้น) ซึ่งได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 5 ปีขึ้นไปตามเกณฑ์สิทธิปกติ โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม คือการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 50% เป็นระยะเวลา 3 ปี มาตรการดังกล่าจะมีผลบังคับใช้กับคำขอที่ยื่นตั้งแต่ 19 พ.ย.61 ไปจนถึงสิ้นปี 62
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งปรับปรุงมาจากมาตรการส่งเสริมการลงทุนภาคการเกษตรในระดับท้องถิ่นในปัจจุบัน เริ่มบังคับใช้กับคำขอที่ยื่นตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.62 ถึงสิ้นปี 63 จะมุ่งเน้นการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการที่มีศักยภาพสูงกว่าเข้าไปสนับสนุนการยกระดับขีดความสามารถขององค์กรท้องถิ่น เช่น องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น สหกรณ์ และวิสาหกิจชุมชน โดยจะต้องดำเนินงานตามแผนความร่วมมือกับท้องถิ่นอย่างชัดเจนมีเงินลงทุนขั้นต่ำในการสนับสนุนแต่ละโครงการไม่น้อยกว่า 1 ล้านบาท และหากสนับสนุนหลายรายในโครงการเดียวกันจะต้องสนับสนุนไม่น้อยกว่า 2 แสนบาทต่อราย
ทั้งนี้ มาตรการใหม่นี้ได้ขยายขอบข่ายของทั้งผู้รับและผู้ให้การสนับสนุนกิจการท้องถิ่นให้กว้างขึ้นจากมาตรการเดิม คือ ในส่วนของผู้รับการสนับสนุน จากเดิมกำหนดไว้เฉพาะกิจการด้านการเกษตรเท่านั้น เพิ่มเป็นให้ครอบคลุมถึงอุตสาหกรรมเบา กิจการท่องเที่ยวชุมชนด้วย และในส่วนของผู้ให้การสนับสนุน จากเดิมจำกัดเฉพาะกิจการด้านเกษตรเท่านั้น ให้ขยายเป็นครอบคลุมทุกประเภทกิจการ และเป็นโครงการที่ได้รับส่งเสริมการลงทุนอยู่เดิมแต่ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ด้านภาษีเงินได้ หรือสิทธิประโยชน์ได้สิ้นสุดลงแล้ว
ผู้ที่ได้รับส่งเสริมตามมาตรการดังกล่าว จะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี ในส่วนกิจการที่ดำเนินการอยู่เดิม ทั้งนี้จะได้รับการยกเว้นภาษีในมูลค่าไม่เกิน 120% ของเงินลงทุนหรือค่าใช้จ่ายที่จ่ายไปจริงในการสนับสนุน เช่น ค่าก่อสร้างโรงงาน ค่าเครื่องจักรและอุปกรณ์ ค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรม เป็นต้น
ที่ประชุมฯ ยังได้พิจารณามาตรการส่งเสริมการลงทุนกิจการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) เพื่อส่งเสริมให้เกิดการลงทุนพัฒนาทั้งพื้นที่ ระบบ และนิคมหรือเขตอุตสาหกรรมเมืองอัจฉริยะ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้สอดคล้องกับการเป็นประเทศไทย 4.0 ตามนโยบายของรัฐบาล โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทกิจการ ได้แก่ กิจการพัฒนาพื้นที่เมืองอัจฉริยะ กิจการพัฒนาระบบเมืองอัจฉริยะ และ กิจการพัฒนานิคมหรือเขตอุตสาหกรรมอัจฉริยะ
อีกทั้ง ได้เห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อสร้างระบบนิเวศด้านนวัตกรรมและดิจิทัล โดยปรับปรุงเงื่อนไขประเภทกิจการศูนย์บ่มเพาะด้านนวัตกรรม (Innovation Incubation Center) ในหลายประเด็น เช่น เพิ่มพื้นที่ขั้นต่ำจากเดิม 300 ตารางเมตร เป็น 1,000ตารางเมตร เพื่อความเหมาะสม และต้องมีแผนการบ่มเพาะเพื่อการพัฒนานวัตกรรมตามที่คณะกรรมการให้ความเห็นชอบ ซึ่งจะช่วยให้มีการพัฒนาและบ่มเพาะผู้ประกอบการได้อย่างเป็นรูปธรรม
รวมทั้งเห็นชอบให้บีโอไอเปิดให้การส่งเสริมประเภทกิจการ Maker Space หรือ Fabrication Laboratory เพื่อให้บริการเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ซึ่งจะเป็นประโยชน์และลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการที่ต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบของตนเอง โดยต้องจัดให้มีพื้นที่สำหรับเป็นห้องปฏิบัติการเพื่อใช้ในงานสร้างนวัตกรรมหรือผลิตภัณฑ์ต้นแบบ และมีระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน
และเปิดให้การส่งเสริมประเภทกิจการ Co-Working Space เพื่อเสริมภาวะแวดล้อมให้เกิดการเชื่อมโยงกับนักพัฒนาของไทย และยังช่วยส่งเสริมชักจูงสตาร์ทอัพและ VC จากทั่วโลกให้เข้ามาลงทุนในไทยด้วย เงื่อนไขสำคัญ คือต้องจัดให้มีพื้นที่ให้บริการไม่น้อยกว่า 2,000ตารางเมตร และมีเงินลงทุนไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรและสิทธิประโยชน์ที่ไม่เกี่ยวกับภาษีอาการ
นางสาวดวงใจ กล่าวว่า ที่ประชุมฯ ยังได้พิจารณามาตรการสนับสนุนให้บริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการเสริมสร้างความเข้มแข็งของตลาดทุนโดยบริษัทที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ จะได้รับสิทธิและประโยชน์ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มเติมอีก 100% ของเงินลงทุน (โดยไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน) โดยมาตรการนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 19 พ.ย.61 ถึงวันที่ 30 ธ.ค.63
ขณะที่คณะกรรมการ BOI เห็นชอบให้ทบทวนหลักเกณฑ์ที่กำหนดให้โครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนต้องใช้แรงงานต่างด้าวไร้ฝีมือแบบ MOU เท่านั้น นับตั้งแต่ 1 ม.ค.62 เป็นต้นไป โดยผ่อนผันให้ใช้แรงงานต่างด้าวที่ถูกกฎหมายได้ทุกประเภทไม่จำกัดเพียงแรงงานต่างด้าวแบบ MOU เท่านั้นเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวของกระทรวงแรงงาน