นายวิบูลย์ ผาณิตวงศ์ รองประธานคณะกรรมการประสานงาน 3 สมาคมโรงงานน้ำตาลทราย กล่าวว่า ทางกลุ่มโรงงานน้ำตาลพร้อมให้ความร่วมมือในการหาเงินส่วนที่เหลือในการเพิ่มราคาอ้อยให้กับชาวไร่อ้อยอีกตันละ 38 บาท จำนวน 68.15 ล้านตัน มาจ่ายให้กับชาวไร่อ้อยเป็นเงินรวม 2,589.70 ล้านบาท โดยเงินส่วนนี้ถือเป็นการสำรองจ่ายไปก่อน หากราคาน้ำตาลเฉลี่ยอยู่ที่ 11.22 เซ็นต์/ปอนด์หรือสูงกว่าทางโรงงานก็น่าจะได้เงินส่วนนี้คืนในช่วงปลายปีนี้
อนึ่ง ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 8 ม.ค.51 ได้มีมติเพิ่มราคาอ้อยให้กับชาวไร่อ้อยอีกตันละ 100 บาทนั้น โดยให้กองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) จำนวน 4,225.30 ล้านบาท เพื่อนำมาจ่ายเพิ่มให้กับชาวไร่อ้อยโดยตรงในอัตราตันละ 62 บาท
"ประเด็นที่เราเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับมติคณะรัฐมนตรีที่ออกมา คือเรื่องที่สั่งให้กระทรวงพลังงานกำหนดนโยบายส่งเสริมการนำอ้อยและกากน้ำตาลไปผลิตเป็นพลังงานทดแทนให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพ เพราะหากทำได้ก็จะเป็นการช่วยเพิ่มรายได้ให้กับชาวไร่อ้อยในระยะยาว ไม่ต้องมานั่งแก้ปัญหาราคาอ้อยในลักษณะนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกทุกๆ ปี" นายวิบูลย์ กล่าว
ด้านนายสิริวุทธิ์ เสียมภักดี นายกสมาคมการค้าผู้ผลิตเอทานอลไทย กล่าวว่า รัฐบาลจะต้องให้ความสนใจกับเรื่องของอ้อยอย่างจริงจัง เพื่อจะได้กำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ เริ่มตั้งแต่การผลิตที่จะเสริมสร้างสายพันธุ์อ้อยอย่างไรให้เหมาะสมกับการนำไปใช้ เนื่องจากปัจจุบันนี้อ้อยมิใช่เป็นเพียงพืชที่ใช้บริโภคหรือแปรรูปเป็นน้ำตาลเท่านั้น แต่น้ำหนักในด้านของพืชที่ใช้ผลิตพลังงานจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ตามความต้องการใช้พลังงานทดแทนที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในภาวะราคาน้ำมันที่สูงมาก
นอกจากนี้ ในด้านการกำหนดราคาเอทานอลก็ควรให้สอดคล้องกับกลไกตลาดที่แท้จริง เพราะหากคุมราคาจนกลายเป็นลักษณะของการบิดเบือนตลาดก็จะทำให้บางกลุ่มได้ประโยชน์ แต่บางกลุ่มเสียประโยชน์ เช่น ถ้าราคาเอทานอลต่ำกว่าความเป็นจริง ชาวไร่อ้อยก็ขายกากน้ำตาลได้ในราคาต่ำกว่าที่ควรจะเป็น และท้ายที่สุดก็กลับมาเป็นภาระของรัฐเองที่ต้องเข้ามาช่วยเหลือชาวไร่อ้อย
--อินโฟเควสท์ โดย อตฦ/รัชดา/กษมาพร โทร.0-2253-5050 อีเมล์: kasamarporn@infoquest.co.th--