ธปท.ปฏิรูปกฎเกณฑ์กำกับดูแลสถาบันการเงินสอดคล้องเทคโนโลยี-ช่วยส่งเสริม SMEs คาดแล้วเสร็จ มี.ค.62

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday November 20, 2018 15:50 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.อยู่ระหว่างการปฏิรูปกฎเกณฑ์กำกับดูแลสถาบันการเงิน ซึ่งการปรับปรุงกฎเกณฑ์ต่างๆ เหล่านี้ส่วนใหญ่อยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในเดือน มี.ค.62

ทั้งนี้ ผู้ว่าการ ธปท.ระบุว่า พัฒนาการทางเทคโนโลยีได้เปลี่ยนภูมิทัศน์ระบบการเงินของประเทศในหลายมิติ ทั้งด้านผู้เล่น รูปแบบการให้บริการทางการเงินและผลิตภัณฑ์ทางการเงิน รวมทั้งความสัมพันธ์ของผู้เกี่ยวข้อง ซึ่ง ธปท.เห็นความจำเป็นของการสนับสนุนให้ระบบการเงินปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้สามารถนำเทคโนโลยีมาใช้ในระบบการเงินอย่างเต็มศักยภาพมากขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินโดยต่อเนื่อง เพิ่มประสิทธิภาพของบริการทางการเงินและลดภาระให้แก่ผู้บริโภค

บทบาทของ ธปท. ในฐานะผู้กำกับดูแลสถาบันการเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน จำเป็นต้องปรับให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการดูแลเสถียรภาพของระบบการเงินกับการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อไปยังประชาชนและธุรกิจผู้ใช้บริการทางการเงินโดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและเล็กได้มากขึ้น

ธปท.จึงได้นำกระบวนการออกกฎเกณฑ์ที่ดีหรือ Regulatory Impact Assessment (RIA) มาใช้เพื่อปรับหลักคิดในการกำกับดูแลและเปลี่ยนกระบวนการท งานให้สอดรับกับสภาพแวดล้อมใหม่ ซึ่งเป็นการดำเนินการต่อเนื่องจากการปฏิรูปกฎเกณฑ์การควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา

ในปี 2561 นี้ ธปท.เห็นความสำคัญของการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการให้บริการทางการเงิน การปฏิรูปกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องจึงมุ่งเน้นไปที่ (1) การส่งเสริมบริการทางการเงินด้านดิจิทัล และ (2) การสนับสนุนบริการทางการเงินสำหรับ SMEs เพื่อให้ประชาชนและธุรกิจ SMEs ได้รับประโยชน์จากบริการทางการเงินที่หลากหลายขึ้น มีนวัตกรรมทางการเงินที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ และเข้าถึงบริการทางการเงินได้ดีขึ้นด้วยต้นทุนที่ถูกลง โดยที่ ธปท.จะยังได้รับข้อมูลต่างๆ จากสถาบันการเงินเพื่อใช้ในการติดตามดูแลรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและดูแลคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงินอย่างเหมาะสม

กว่า 6 เดือนที่ผ่านมา ธปท. ได้ร่วมกับคณะทำงาน ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากสถาบันการเงินและภาคธุรกิจต่างๆ หารือแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับปัญหาอุปสรรคในการทำธุรกิจและการเข้าถึงบริการทางการเงิน และร่วมกันจัดทำข้อเสนอแนะในการส่งเสริมบริการทางการเงินด้านดิจิทัลและการสนับสนุนบริการทางการเงินสำหรับ SMEs เพื่อให้การปรับปรุงเกณฑ์การกำกับดูแลเป็นประโยชน์แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย อย่างแท้จริง ซึ่งในการดำเนินการได้มีการนำเครื่องมือ Data analytics มาช่วยวิเคราะห์ประเด็นปัญหาของกฎเกณฑ์ที่อาจเป็นอุปสรรคต่อเรื่องดังกล่าวด้วย

การปฏิรูปกฎเกณฑ์กำกับดูแลสถาบันการเงินในครั้งนี้ มุ่งที่จะช่วยให้สถาบันการเงินและผู้ให้บริการทางการเงินคล่องตัวในการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการให้บริการ 4 มิติ คือ (1) ผลักดันนวัตกรรมและบริการทางการเงินได้รวดเร็วขึ้น (speed) (2) ให้บริการได้ในขอบเขตที่กว้างและในรูปแบบที่หลากหลายขึ้น (scope)(3) สามารถตอบสนองกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายและกว้างขึ้น (scale) และ (4) ช่วยดึงศักยภาพของสถาบันการเงินและผู้ให้บริการต่างๆ มาใช้ร่วมกันในการยกระดับการให้บริการให้ดีขึ้น (sharing) ซึ่งทั้งหมดนี้จะส่งผลให้ผู้ใช้บริการทางการเงินได้รับบริการที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะของตนได้ดีขึ้น (segment of one)

โดยสรุปสิ่งที่สำคัญในการปฏิรูปกฎเกณฑ์ในครั้งนี้ ดังนี้ ในการส่งเสริมบริการทางการเงินด้านดิจิทัล ธปท. ได้(1) ผ่อนคลายกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการขออนุญาตสำหรับการใช้เทคโนโลยีและการให้บริการทางการเงินรูปแบบใหม่ๆ เช่น การใช้เทคโนโลยี Cloud computing การเปลี่ยนระบบ Core banking หรือการให้บริการ Platform กับ strategic partners โดยให้สถาบันการเงินสามารถดำเนินการได้เองภายใต้กรอบการบริหารความเสี่ยงและการดูแลผู้บริโภคที่เหมาะสมตามที่ ธปท.กำหนด ซึ่งจะเพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนานวัตกรรมและบริการทางการเงิน และลดเวลาการนำเสนอบริการทางการเงินใหม่ๆ (time to market)

(2) ปรับปรุงแนวทางของ Regulatory Sandbox ให้มีประสิทธิภาพขึ้น โดยสถาบันการเงินและผู้ให้บริการทางการเงินต้องน นวัตกรรมเข้าทดสอบกับ ธปท. เฉพาะกรณีที่เกี่ยวข้องกับการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน / มาตรฐานกลาง (common infrastructure / standard) เช่น มาตรฐาน QR code ที่จบการทดสอบไปแล้วก่อนหน้า หรือในกรณีที่กฎหมายกำหนดให้ต้องเข้าทดสอบใน Regulatory Sandbox เช่น การทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลของสถาบันการเงิน

และ (3) สนับสนุนให้สถาบันการเงินใช้เทคโนโลยี Biometrics อย่างเต็มรูปแบบในการพิสูจน์ตัวตนลูกค้าในการสนับสนุนบริการทางการเงิน

สำหรับ SMEs ธปท. ได้ (1) ให้ความสำคัญกับการส่งเสริม Information-based lending โดยผ่อนคลายข้อจำกัดด้านวงเงินตามจำนวนเท่าของรายได้สำหรับสินเชื่อส่วนบุคคลที่ให้แก่ SMEs บุคคลธรรมดาที่กู้เพื่อทำธุรกิจ และผ่อนคลายกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการพิจารณา ความสามารถในการชำระหนี้ ให้สถาบันการเงินและผู้ให้บริการทางการเงินสามารถพัฒนาแบบจำลองในการประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของ SMEs โดยใช้ข้อมูลอื่นๆ (alternative data) ประกอบกับข้อมูลรายได้ของ SMEs เพื่อให้ SMEs สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น รวมทั้งสนับสนุนให้ SMEs สามารถใช้ข้อมูลความน่าเชื่อถือด้านเครดิตจากแหล่งอื่นๆ ประกอบการยื่นขอสินเชื่อได้ โดยเฉพาะคะแนนเครดิตจากบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB)

และ (2) ผ่อนคลายกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการประเมินราคาหลักประกัน โดยให้ SMEs และบุคคลธรรมดาสามารถใช้เอกสารประเมินหลักประกันฉบับเดียวในการยื่นขอสินเชื่อหรือ refinance สินเชื่อกับสถาบันการเงินหลายแห่งได้โดยไม่ต้องประเมินราคาหลักประกันใหม่ หากระยะเวลาการประเมินอยู่ในกรอบที่สถาบันการเงินกำหนด และให้สถาบันการเงินสามารถประเมินราคาหลักประกันโดยไม่ต้องออกไป สถานที่จริง โดยการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดต้นทุนการเข้าถึงสินเชื่อของลูกค้า

นอกจากนี้ ยังได้ปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานของ ธปท. และข้อกำหนดที่มีต่อผู้ให้บริการทางการเงินเพื่อรองรับการเข้าสู่ยุคดิจิทัลด้วย โดยในส่วนของสถาบันการเงิน ธปท. ได้ผ่อนคลายกฎเกณฑ์การจัดเก็บเอกสารของสถาบันการเงินที่มีประกาศที่เกี่ยวข้องมากกว่า 50 ฉบับ โดย (1) ยกเลิกข้อกำหนดเกี่ยวกับการให้ข้อมูลต่างๆ แก่ผู้ใช้บริการทางการเงินในรูปแบบของเอกสาร เช่น การปิดประกาศอัตราดอกเบี้ยที่ที่ทำการสาขา แต่ยังคงต้องอำนวยความสะดวกในการเปิดเผยข้อมูลให้ผู้ใช้บริการหากมีการร้องขอข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

และ (2) ยกเลิกข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดเก็บเอกสารหรือการส่งเอกสารตัวจริงเพื่อการตรวจสอบของ ธปท.โดยให้สถาบันการเงินจัดเก็บเอกสารและเผยแพร่ข้อมูลในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้

นอกจากนี้ ธปท. ยังได้ปรับปรุงกระบวนการยื่นขออนุญาตต่อ ธปท. ในรูปแบบ One-stop service โดยการขออนุญาตจากสถาบัน การเงินและผู้ให้บริการทางการเงินที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท. สามารถยื่นขออนุญาตผ่านช่องทางระบบ e-Application ได้ที่จุดเดียว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็ว และยังลดความซ้ำซ้อนในกระบวนการขออนุญาตด้วย

ในการปรับปรุงหลักเกณฑ์และกระบวนการต่างๆ ในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยให้สถาบันการเงินและผู้ให้บริการทางการเงินลดระยะเวลาการพัฒนานวัตกรรมและนำเสนอบริการทางการเงินใหม่ๆ ลงได้แล้วยังคาดว่าจะช่วยประหยัดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ลงได้ถึงประมาณ 1,100 ล้านบาทต่อปี และในส่วนของ SMEs นั้น นอกจากจะเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้นแล้ว ยังคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนโดยรวมที่ SMEs ต้องชำระสำหรับการประเมินราคาหลักประกันลงได้ประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ