นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดทำโครงการ "บ้านล้านหลัง" โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยให้สามารถมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง ซึ่งโครงการดังกล่าว ธอส.จะปล่อยกู้ให้แก่ผู้มีรายได้น้อยเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยในราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ระยะเวลาการกู้สูงสุดไม่เกิน 40 ปี โดย ธอส.ได้เตรียมวงเงินสินเชื่อไว้ 50,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ธอส.ได้ประเมินว่าธนาคารจะสูญเสียรายได้จากดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่างๆ จากโครงการนี้ราว 6,103 ล้านบาท แต่ธนาคารจะขอรับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลเพียงแค่ 3,876 ล้านบาท ซึ่งเป็นเฉพาะในส่วนของรายได้จากดอกเบี้ยที่ลดลงเท่านั้น ส่วนที่เหลือ เช่น ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการอื่นๆ ธอส.จะเป็นผู้รับภาระเอง
ด้านนายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า โครงการบ้านล้านหลังอยู่ภายใต้วงเงินรวมทั้งหมด 60,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาลที่ต้องการช่วยเหลือให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยมุ่งเน้นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลุ่มคนวัยทำงานหรือผู้ที่กำลังเริ่มต้นสร้างครอบครัว รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุ ประกอบด้วย 2 โครงการที่สำคัญ คือ 1.สินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับลูกค้ารายย่อย (Post Finance) วงเงิน 50,000 ล้านบาท และ 2.สินเชื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Pre Finance) วงเงิน 10,000 ล้านบาท
โครงการแรก สินเชื่อที่อยู่อาศัยสำหรับลูกค้ารายย่อย (Post Finance) วงเงิน 50,000 ล้านบาท สำหรับประชาชนทั่วไปที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ให้กู้เพื่อซื้อ หรือปลูกสร้างที่อยู่อาศัย และซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัย ราคาไม่เกิน 1,000,000 บาท ผ่อนชำระได้นานสูงสุด 40 ปี อัตราดอกเบี้ย แบ่งเป็นดังนี้
1. กรณีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท/คน/เดือน (กรอบวงเงิน 20,000 ล้านบาท) อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-ปีที่ 5 คงที่ 3.00% ต่อปี ปีที่ 6 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้เงิน กรณีสวัสดิการ MRR -1% ต่อปี, กรณีรายย่อย MRR -0.75%, กรณีซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกฯ อัตราดอกเบี้ย MRR (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส.เท่ากับ 6.75% ต่อปี)
กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระ 5 ปีแรก เริ่มต้นเพียง 3,800 บาทเท่านั้น ยกเว้นค่าธรรมเนียม 4 ฟรี ได้แก่ 1.ฟรีค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ (0.1% ของวงเงินทำนิติกรรม) 2.ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกัน (1,900-2,300 บาท) 3.ฟรีค่าจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม (1,000 บาท) และ 4.ฟรีค่าจดทะเบียนนิติกรรมจำนอง (1% ของวงเงินจำนอง)
ส่วนกรณีผู้ประกอบอาชีพประจำหรืออาชีพอิสระที่มีรายได้ไม่เกิน 25,000 บาท สามารถนำหลักฐานการชำระค่าเช่าบ้าน หรือ ผ่อนชำระเงินดาวน์บ้านไม่น้อยกว่า 12 เดือน มาประกอบการพิจารณา เพื่อคำนวณรายได้เพิ่มเติม หรือลูกค้าที่เข้าโครงการ ธอส.โรงเรียนการเงิน มีประวัติการออมสม่ำเสมอไม่น้อยกว่าเงินงวดผ่อนชำระเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 9 เดือน สามารถใช้เป็นหลักฐานที่มาของรายได้และนำค่าเช่าหรือวงเงินที่ผ่อนชำระเงินดาวน์ที่อยู่อาศัยมานับรวมเป็นการออมได้
2. กรณีรายได้เกิน 25,000 บาท/คน/เดือน (กรอบวงเงิน 30,000 ล้านบาท) อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-ปีที่ 3 คงที่ 3.00% ต่อปี ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญาเงินกู้ กรณีสวัสดิการ MRR -1% ต่อปี กรณีรายย่อย MRR -0.50% กรณีซื้ออุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวก อัตราดอกเบี้ย MRR ตั้งแต่ปีที่ 1 จนถึงตลอดอายุสัญญากู้เงินกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระ 3 ปีแรกเริ่มต้นเพียง 3,800 บาทเช่นกัน
ส่วนโครงการที่สอง สินเชื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย (Pre Finance) วงเงิน 10,000 ล้านบาท ให้กู้สำหรับผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณสมบัติพร้อมกับปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนดนำไปจัดทำที่อยู่อาศัยที่มีราคาขาย ไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อหน่วย ไม่น้อยกว่า 40% ของจำนวนหน่วยขายทั้งหมดของโครงการ อัตราดอกเบี้ย MLR -1.25% ต่อปี เฉพาะกรณีสร้างที่อยู่อาศัยที่มีราคาขายไม่เกิน 1 ล้านบาท ส่วนกรณีก่อสร้างที่อยู่อาศัยที่มีราคาขายเกิน 1 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย MLR -0.75% ต่อปี (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MLR อยู่ที่ 6.25% ต่อปี)
นายฉัตรชัย กล่าวว่า ธอส. กำหนด Kick Off โครงการภายในเดือน ธ.ค.61 โดยจะเปิดให้ประชาชนจองสิทธิ์สินเชื่อเพื่อซื้อ หรือปลูกสร้างที่อยู่อาศัย และซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องกับที่อยู่อาศัยตามวัตถุประสงค์ของโครงการ หรือจองสิทธิ์สินเชื่อเพื่อเลือกซื้อทรัพย์ที่พร้อมเข้าอยู่อาศัยภายในไตรมาส 2/62 จำนวนกว่า 30,000 หน่วย ได้จากแคตตาล็อกในเว็บไซต์ตั้งแต่วันที่ 23 พ.ย.61 เป็นต้นไป แบ่งเป็น ทรัพย์ในกรุงเทพฯ 14,000 หน่วย และทรัพย์ในภูมิภาค 16,000 หน่วย ประกอบด้วย ทรัพย์มือหนึ่งจากผู้ประกอบการและการเคหะแห่งชาติ จำนวนกว่า 27,000 หน่วย ทรัพย์มือสองของ ธอส. สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) บริษัท บริหารสินทรัพย์กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (BAM) และบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) รวมกว่า 3,000 หน่วย
ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนนำรหัสของรายการทรัพย์ที่เลือกในเว็บไซต์ ไปแสดงพร้อมด้วยบัตรประชาชนตัวจริงเพื่อลงทะเบียนการจองในงาน "Kick Off โครงการบ้านล้านหลัง" โดยให้สิทธิ์การจอง 1 คน ต่อทรัพย์ 1 รายการ และหลังจากที่จองสำเร็จจะได้รับข้อความ SMS แจ้ง หรือเอกสารยืนยันจากธนาคาร เพื่อนำไปยืนยันสิทธิ์การยื่นพิจารณาสินเชื่อ ณ ที่ทำการสาขาของ ธอส.ทั่วประเทศ ภายในกรอบวงเงิน 50,000 ล้านบาท
"งาน Kick Off โครงการบ้านล้านหลัง ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลจะจัดขึ้น ณ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ พระราม 9 ส่วนในภูมิภาคจะจัดขึ้น ณ ที่ทำการสาขาที่ธนาคารกำหนด ซึ่งภายในงาน นอกจากจะเปิดให้ผู้ที่สนใจจองที่อยู่อาศัยและสินเชื่อบ้านแล้ว ยังมีการจัดแสดงข้อมูลของที่อยู่อาศัยที่เข้าร่วมโครงการ และยังมีเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสินเชื่อบ้านของ ธอส. ที่พร้อมให้บริการหรือคำแนะนำแก่ประชาชนที่สนใจอีกด้วย" กรรมการผู้จัดการ ธอส.กล่าว
พร้อมระบุว่า ธอส.จะแจ้งกำหนดการยื่นคำขอกู้เฟสแรกอีกครั้ง โดยกำหนดทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 ธ.ค.62 หรือภายใต้กรอบวงเงินที่ธนาคารกำหนด