ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยแพร่รายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 14 พ.ย.61 ที่คณะกรรการฯ มีมติ 4 ต่อ 3 ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% ต่อปี โดยกรรมการ 3 ท่าน เห็นควรให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็น 1.75%
โดยกรรมการส่วนใหญ่เห็นว่านโยบายการเงินแบบผ่อนคลายในระดับปัจจุบันยังจำเป็นต่อการสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยเศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับความเสี่ยงด้านต่ำจากผลกระทบของมาตรการกีดกันทางการค้าที่มีความไม่แน่นอนสูง รวมทั้งภาคท่องเที่ยวที่ชะลอตัวลง และต้องติดตามความเข้มแข็งของการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาคเอกชนที่จะเป็นแรงส่งของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้า
ขณะที่กรรมการส่วนหนึ่งเห็นว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจมีความชัดเจนเพียงพอและมีแนวโน้มชะลอตัวลงไม่มาก จึงเห็นว่าการลดระดับความผ่อนคลายของนโยบายการเงินอย่างค่อยเป็นค่อยไปในปัจจุบันจะไม่ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจมากนัก แต่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงิน ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว
นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ เห็นว่านโยบายการเงินที่ผ่อนคลายในระดับปัจจุบันได้เอื้อให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเคลื่อนไหวสอดคล้องกับกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อ และเห็นว่าอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำแม้ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง เป็นผลจากปัจจัยด้านอุปทานและปัจจัยเชิงโครงสร้างเป็นสำคัญ ด้วยเหตุผลดังกล่าว กรรมการส่วนหนึ่งจึงเห็นว่าการคงการผ่อนคลายของนโยบายการเงินในระดับปัจจุบันต่อไปอาจไม่ช่วยให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น
คณะกรรมการฯ เห็นว่าการดูแลระบบการเงินให้มีเสถียรภาพจำเป็นต้องใช้เครื่องมือเชิงนโยบายผสมผสานกันทั้งอัตราดอกเบี้ยนโยบายและมาตรการเพื่อดูแลเสถียรภาพระบบการเงิน (macroprudential measures) เพื่อให้การดูแลเสถียรภาพระบบการเงินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ดี มาตรการเพื่อดูแลเสถียรภาพระบบการเงินไม่สามารถใช้ทดแทนการดำเนินนโยบายการเงินที่เหมาะสมได้ เนื่องจากเป็นเพียงมาตรการเสริมเพื่อดูแลความเสี่ยงเฉพาะจุด ทั้งนี้กรรมการส่วนหนึ่งกังวลต่อความเสี่ยงของเสถียรภาพระบบการเงินที่เริ่มสะสมความเปราะบางมากขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยมองว่าความเปราะบางในระบบการเงินเริ่มกระจายเป็นวงกว้างมากขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นเวลานาน ส่งผลให้ประชาชนและภาคธุรกิจประเมินความเสี่ยงของภาวะการเงินในอนาคตต่ำกว่าที่ควร จึงเห็นว่านโยบายการเงินควรมีบทบาทในการรักษาเสถียรภาพระบบการเงินควบคู่กับมาตรการเพื่อดูแลเสถียรภาพระบบการเงินเฉพาะจุด
ความเสี่ยงที่คณะกรรมการฯ จะติดตามต่อไป ได้แก่ (1) พฤติกรรมการก่อหนี้ของภาคครัวเรือน แม้ว่าสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ทยอยปรับลดลงแต่ยังคงอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ คุณภาพสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยยังไม่ปรับดีขึ้น สินเชื่อรถยนต์มีแนวโน้มเร่งตัว อีกทั้งอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำอาจส่งผลกระทบต่อฐานเงินออมในอนาคต และ (2) พฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นอื่น ๆ ในภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นเวลานาน ซึ่งอาจนำไปสู่การประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร (underpricing of risks) เช่น สหกรณ์ออมทรัพย์ยังให้ผลตอบแทนแก่สมาชิกในอัตราสูง ทำให้สินทรัพย์ขยายตัวในอัตราสูงต่อเนื่อง และเป็นแรงกดดันให้ต้องแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น รวมทั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ขนาดใหญ่มีบทบาทในระบบสหกรณ์มากขึ้นผ่านการให้กู้ยืมระหว่างกัน นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่มีการระดมทุนมากขึ้นในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ทั้งจากสินเชื่อธนาคารและตราสารหนี้ เพื่อขยายการลงทุนทั้งในกิจการเดิมและกิจการที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลัก รวมถึงกิจการในต่างประเทศ จึงควรติดตามและประเมินความเสี่ยงใกล้ชิดมากขึ้น
นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ได้อภิปรายเกี่ยวกับเงื่อนไขและจังหวะเวลาที่เหมาะสมของการเริ่มปรับนโยบายการเงินให้เข้าสู่ภาวะปกติในอนาคต โดยเห็นว่าหากเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวได้ดีต่อเนื่องและอัตราเงินเฟ้อเคลื่อนไหวสอดคล้องกับกรอบเป้าหมาย ความจ เป็นที่จะต้องใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากในระดับปัจจุบันจะเริ่มทยอยลดลง และการรักษา policy space เพื่อรองรับความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจะมีความสำคัญมากขึ้น
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯ จะประเมินสถานการณ์ตามพัฒนาการของข้อมูล (data-dependent) ทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อ และความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงิน ประกอบการดำเนินนโยบายการเงินที่เหมาะสมในระยะต่อไป
"คณะกรรมการฯ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง แม้อุปสงค์จากต่างประเทศมีสัญญาณชะลอลงบ้าง แต่อุปสงค์ในประเทศยังขยายตัวต่อเนื่อง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีทิศทางเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้เดิม แต่มีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นตามความผันผวนของราคาพลังงานและราคาอาหารสด ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ ใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ ภาวะการเงินโดยรวมอยู่ในระดับที่ผ่อนคลายและเอื้อต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจ ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพแต่ต้องติดตามความเสี่ยงในบางจุด โดยความเสี่ยงจากการแข่งขันในตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยที่ส่งผลให้มาตรฐานการปล่อยสินเชื่อลดลงนั้น ได้รับการดูแลในระดับหนึ่งด้วยการปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย เพื่อยกระดับมาตรฐานการพิจารณาสินเชื่อของสถาบันการเงินให้สะท้อนความเสี่ยงได้ดีขึ้น รวมทั้งเป็นมาตรการเชิงป้องกันเพื่อดูแลความเสี่ยงเชิงระบบ
ทั้งนี้คณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการของตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและการปรับตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงก่อนหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจะมีผลบังคับใช้รวมทั้งติดตามการสะสมความเปราะบางใน จุดอื่น ๆ จากภาวะการเงินที่ผ่อนคลายเป็นเวลานาน"