นางมารา วาร์วิค ผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำประเทศบรูไน มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และประเทศไทย กล่าวว่า คณะกรรมการบริหารธนาคารโลกได้ให้การรับรองกรอบความร่วมมือระดับประเทศฉบับใหม่สำหรับประเทศไทย โดยกำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์สำหรับบทบาทของกลุ่มธนาคารโลกที่จะทำงานร่วมกับประเทศไทยในช่วงปี 2562-2565 ซึ่งกรอบความร่วมมือดังกล่าวจะสนับสนุนการปฏิรูปของประเทศไทยให้พัฒนาเป็นเศรษฐกิจที่มีการพัฒนาด้านนวัตกรรม เป็นเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างมีส่วนร่วมและมีความยั่งยืน
"ความร่วมมือระหว่างเรากับประเทศไทยในช่วงต่อไปนี้จะเน้นความร่วมมือทางด้านความรู้ความเชี่ยวชาญ ซึ่งจะคำนึงถึงพลวัตการพัฒนาของประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูง โดยประเทศไทยนั้นสามารถพัฒนาประเทศได้อย่างดีในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็ยังมีประเด็นท้าทายในระยะต่อไป"
โดยกรอบความร่วมมือระดับประเทศนี้มีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีของประเทศไทย (2560-2579) และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 ของประเทศไทย ซึ่งกลุ่มธนาคารโลกจะให้ความสำคัญกับการให้บริการด้านคำปรึกษาและการวิเคราะห์ที่สามารถเบิกค่าใช้จ่ายคืนได้หรือสามารถขอรับการสนับสนุนจากกองทุนที่เกี่ยวข้อง และจะยังคงเปิดช่องทางในการให้ความช่วยเหลือด้านการจัดหาเงินทุนในอนาคตหากรัฐบาลไทยมีความต้องการ
นางเบอร์กิท ฮานสล์ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและกลุ่มธนาคารโลกในระยะต่อไปจะเป็นการวางยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมสำหรับการฟื้นฟูการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีส่วนร่วมและมีความยั่งยืน
โดยธนาคารโลกจะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทย ด้วยการสร้างงานที่ดี การพัฒนาคุณภาพการศึกษาเพื่อให้เยาวชนมีความพร้อมในการทำงานในอนาคต และเพื่อให้มั่นใจได้ว่าคนจนและคนชายขอบจะได้รับประโยชน์จากการพัฒนาของประเทศไทย, บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศจะให้บริการจัดหาเงินทุนและให้คำปรึกษากับภาคเอกชนเพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างมีส่วนร่วมต่อไป โดยสถาบันประกันการลงทุนพหุภาคีจะให้การสนับสนุนการลงทุนที่เป็นไปตามเงื่อนไขด้วยการเพิ่มความน่าเชื่อถือของตราสารและการรับทำประกันความเสี่ยงทางการเมือง
"บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศจะช่วยส่งเสริมการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่งยั่งยืน การสร้างบรรยากาศที่เหมาะสมสำหรับการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงการให้ความสำคัญกับการมีบทบาทของประเทศไทยในการลงทุนในต่างประเทศและการแบ่งปันความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ให้กับประเทศและภาคส่วนที่ต้องการความช่วยเหลือไ นายวิครัม คูมาร์ ผู้จัดการบรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศประจำประเทศไทยและเมียนมาร์ กล่าว
ภายใต้กรอบความร่วมมือใหม่นี้ ธนาคารโลกจะใช้ประโยชน์จากนวัตกรรมและใช้เทคโนโลยีและดิจิทัลแพลตฟอร์มต่างๆ ในการเพิ่มโอกาสให้กับกลุ่มคนด้อยโอกาสในประเทศไทยในการเข้าถึงข่าวสารข้อมูลและลดต้นทุนการให้บริการของภาครัฐ โดยกรอบความร่วมมือระดับประเทศนี้จะเกี่ยวข้องกับการให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ อย่างเป็นระบบเพื่อช่วยให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาในด้านการเติบโตอย่างมีส่วนร่วม ความมีภูมิคุ้นกัน และความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาสภาพแวดล้อมของการประกอบธุรกิจด้วยการส่งเสริมการแข่งขันและใช้นวัตกรรม, เสริมสร้างความเข้มแข็งขององค์กรทางการเงินและการคลัง, การเพิ่มคุณภาพของการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในภาคการขนส่งทางราง, การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการจัดการทรัพยากรน้ำ, ส่งเสริมการศึกษาที่มีคุณภาพ, สนับสนุนการมีส่วนร่วมของกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่มีความเปราะบางและความขัดแย้งในพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทย
ทั้งนี้ การจัดทำกรอบความร่วมมือระดับประเทศได้มีการการปรึกษาหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั่วประเทศ และได้แจ้งเกี่ยวกับวัตถุประสงค์และการจัดลำดับความสำคัญของประเด็นการพัฒนาแล้ว
อนึ่ง กรอบความร่วมมือระดับประเทศดังกล่าวนี้เป็นยุทธศาสตร์ความร่วมมือร่วมกันระหว่างองค์กรในเครือของกลุ่มธนาคารโลก อาทิ ธนาคารระหว่างประเทศเพื่อการบูรณะและวิวัฒนาการ (International Bank for Reconstruction and Development: IBRD) บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ (International Finance Corporation: IFC) และสถาบันประกันการลงทุนพหุภาคี (The Multilateral Investment Guarantee Agency: MIGA) กับรัฐบาลไทย ทั้งนี้ในช่วง 70 ปีที่ผ่านมา ธนาคารโลกได้ให้การสนับสนุนโครงการต่างๆ ทั้งในด้านการศึกษา การเกษตร การสื่อสารโทรคมนาคม โครงสร้างพื้นฐาน การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ การพัฒนาภาครัฐ และการสาธารณสุข