นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพิจารณามาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายในลักษณะคล้ายมาตรการช็อปช่วยชาติ โดยใช้ในช่วงเทศกาลตรุษจีน 1-15 ก.พ.62 ซึ่งมีแนวคิดคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ในอัตรา 5% ให้กับประชาชนทั่วไปที่มีการใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิตชำระค่าสินค้าผ่านเครื่องชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) ที่เชื่อมต่อกับอุปกรณ์เครื่องบันทึกการเก็บเงิน (Point of Sale : POS) ในวงเงินไม่เกิน 20,000 บาท หรือคิดเป็นเม็ดเงินภาษีมูลค่าเพิ่มที่คืนให้คนละไม่เกิน 1,000 บาท ซึ่งจะคืนให้กับผู้ที่ผูกบัญชี พรอมเพย์กับเลขบัตรประชาชนเท่านั้น
"ในเบื้องต้นจะคืน VAT 5% และส่วนที่เหลืออีก 2% เป็นรายได้รัฐสำหรับการซื้อสินค้านั้น จะสามารถซื้อสินค้าได้ทุกชนิด ซึ่งจะแตกต่างจากมาตรการช็อปช่วยชาติปลายปี 62 ที่จะซื้อสินค้าได้เพียง 3 ชนิดเท่านั้น คือ ยางรถยนต์ หนังสือ และสินค้าโอทอป" รมว.คลัง กล่าว
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังคาดว่าจะใช้เงินงบประมาณในโครงการนี้ราว 10,000 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณารายละเอียดโครงการก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป
อย่างไรก็ตาม รมว.คลัง ยืนยันว่ามาตรการนี้ไม่ได้เป็นการหาเสียง แต่เป็นมาตรการที่คิดไว้นานแล้วเพื่อต้องการกระตุ้นนโยบาย e-payment ของรัฐบาล และกระตุ้นให้ร้านค้ามีการติดตั้งเครื่อง EDC เพื่อเข้าระบบฐานภาษี ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศในระยะยาว
นอกจากนี้ กรทะรวงการคลังยังเตรียมหารือกับสมาคมธนาคารไทยเพื่อขอลดค่าธรรมเนียมการทำบัตรเดบิต รวมถึงเปิดให้ประชาชนที่ถือบัตรเอทีเอ็มเปลี่ยนให้เป็นบัตรเดบิตได้ฟรี โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในช่วงเวลาดังกล่าว ซึ่งมองว่ามาตรการดังกล่าวจะทำให้สถาบันการเงินได้ประโยชน์ด้วย
รมว.คลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่รัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในด้านต่างๆ รวมทั้งเตรียมทยอยออกมาตรการเพิ่มเติมในช่วงเดือนธ.ค.61 เช่น มาตรการช็อปช่วยชาติ และมาตรการช็อปช่วงเทศกาลตรุษจีนที่เตรียมจะออกมาในเดือนก.พ.62 นั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะรัฐบาลต้องการพยุงเศรษฐกิจไทยให้รักษาระดับ 4-5% ไว้ ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่เติบโตเต็มศักยภาพ
โดย รมว.คลัง ประเมินว่าปีหน้า เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้เกินกว่าระดับ 4% เล็กน้อย แม้จะไม่ฟู่ฟ่ามาก แต่ถือว่าเข้าสู่ระดับเส้นของความยั่งยืน
"ที่เราทำมาทั้งหมด มันเริ่มทำให้เข้าสู่การเติบโตแบบมีศักยภาพแล้ว ดังนั้นจึงไม่อยากให้มีอะไรมาทำให้มันตกลงไปอีก ถ้ามันตกลงไป เราก็ต้องเติมให้มันกลับเข้ามาเหมือนเดิม เมื่อเศรษฐกิจตกลงไปแล้ว การที่จะดึงกลับขึ้นมาค่อนข้างใช้ resource หลายอย่าง ดังนั้นจะปล่อยให้ตกไม่ได้ เราต้องรีบลงไปพยุงมัน ดีกว่าปล่อยให้มันตก" รมว.คลังระบุ
รมว.คลัง ระบุว่า การที่รัฐบาลออกมาตรการช็อปช่วยชาติในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากพบว่าการบริโภคในประเทศเติบโตในระดับต่ำเพียงแค่ 1% แต่หลังจากมีมาตรการดังกล่าวออกมาแล้ว การบริโภคในประเทศปัจจุบันเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับ 4% ได้ ดังนั้นมาตรการช็อปช่วยชาติที่จะออกมาใหม่ในปีนี้ จึงไม่จำเป็นต้องกระตุ้นการบริโภคเป็นการทั่วไปแบบที่ผ่านมา แต่เป็นการทำเพื่อช่วยเหลือสินค้าบางรายการในประเทศที่ยังมีปัญหา รวมทั้งยังเป็นการช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยให้คงไว้ในระดับการเติบโตแบบเต็มศักยภาพได้ต่อเนื่องต่อไป
"ปีนี้ เราเห็นการบริโภคเติบโตค่อนข้างดีในระดับกว่า 4% จากเดิมที่โตแค่ 1% ดังนั้น การทำเป็นการทั่วไปไม่จำเป็นแล้ว ไม่ต้องกระตุ้นการบริโภคแล้ว แต่เรายังมีบางสินค้าที่คิดว่าอยากจะช่วยให้เกิดการบริโภคสินค้าบางประเภท เพื่อประโยชน์บางอย่าง...เป็นตัว stabilize ไม่ให้จีดีพีมันลงต่ำ เรามองว่ายังน่าจะได้ 4% ต้นๆ...ทั้งหมดที่ทำเป็นซีรีย์ที่เราเตรียมไว้ ถ้าไม่ทำจะเสียเปล่า" รมว.คลัง ระบุ