น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา นายเจฟฟรีย์ ควินตัน มิตเชลล์ ดอยจ์ เอกอัครราชทูตแห่งสาธารณรัฐแอฟริกาใต้ประจำประเทศไทย ได้เข้าเยี่ยมคารวะในโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ และหารือแนวทางกระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับแอฟริกาใต้ หวังรักษาตำแหน่งคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยในทวีปแอฟริกา โดยแอฟริกาใต้ถือเป็นประเทศยุทธศาสตร์การค้าของไทยในภูมิภาคดังกล่าว ด้วยความพร้อมด้านสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการค้าการลงทุนที่ดีที่สุดในแอฟริกา ไทยจึงสามารถใช้แอฟริกาใต้เป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้าให้กับหลายประเทศใกล้เคียงที่ไม่มีทางออกทะเล อาทิ บอตสวานา เลโซโท สวาซิแลนด์ และซิมบับเว รวมถึงประเทศสมาชิก Tripartite ซึ่งมีจำนวนกว่า 26 ประเทศ และมีประชากรรวมกันมากกว่า 600 ล้านคน
รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า แอฟริกาใต้ได้แสดงความพร้อมการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม JTC ไทย-แอฟริกาใต้ ครั้งที่ 5 หวังใช้เวทีดังกล่าวส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ในสาขาที่ทั้งสองฝ่ายมีศักยภาพร่วมกันอย่างเกษตร เกษตรแปรรูป อาหารฮาลาล อัญมณีและเครื่องประดับ อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว พร้อมทั้งจะใช้โอกาสการประชุมฯ จัดกิจกรรมจับคู่ทางธุรกิจเพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจระหว่างภาคเอกชนไทยกับแอฟริกาใต้ เป็นการผลักดันความร่วมมือทั้งระดับรัฐและเอกชน นอกจากนี้ไทยขอให้แอฟริกาใต้อำนวยความสะดวกในการออกใบอนุญาตให้แก่แรงงานไทย โดยเฉพาะพ่อครัว แม่ครัว และพนักงานนวดแผนไทย รวมทั้งพิจารณาต่ออายุวีซ่าธุรกิจแก่ผู้ประกอบการธุรกิจร้านอาหารและสปาไทย ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมสำคัญที่จะเพิ่มการจ้างแรงงานและส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทยในแอฟริกาใต้
สำหรับการค้าระหว่างไทยกับแอฟริกาใต้ในระยะเวลา 5 ปี ที่ผ่านมา (2556-2560) มีมูลค่าเฉลี่ยปีละ 3,465 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้ามาโดยตลอด ในปี 2560 การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 3,276 ล้านเหรียญสหรัฐ และมูลค่าการค้าใน 9 เดือนแรกของปี 2561 การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 2,943 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้ากว่าร้อยละ 21 สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปแอฟริกาใต้ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ข้าว ผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เหล็ก เป็นต้น และสินค้านำเข้าสำคัญจากแอฟริกาใต้ ได้แก่ สินแร่โลหะอื่นๆ เคมีภัณฑ์ เครื่องจักรและส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เยื่อกระดาษและเศษกระดาษ เป็นต้น สำหรับธุรกิจที่มีศักยภาพต่อการลงทุนร่วมกัน ได้แก่ ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม การก่อสร้าง ธนาคาร และอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร