นายพิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำประจำเดือน ธ.ค.61 อยู่ที่ระดับ 65.99 จุด ปรับขึ้นเล็กน้อย 0.17 จุด จากเดือนพ.ย.61 ที่ระดับ 65.82 จุด หรือคิดเป็น 0.26% โดยปัจจัยที่ทำให้ดัชนีฯ ปรับเพิ่มขึ้นมาจากความต้องการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และเงินบาทที่อ่อนค่า ส่วนปัจจัยลบมาจากการขายทำกำไรของกองทุน และนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ
ทั้งนี้ กลุ่มตัวอย่างนักลงทุน จำนวน 303 ตัวอย่าง พบว่าส่วนใหญ่ 43.24% ของกลุ่มตัวอย่าง คาดว่าจะซื้อทองคำในช่วงเดือนธ.ค.61 ซึ่งปรับเพิ่มขึ้น 1.29% จากเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา ส่วนกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ประกอบกิจการค้าทองคำรายใหญ่ และผู้ประกอบกิจการนายหน้าซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงกับราคาทองคำ จำนวน 10 ตัวอย่าง เชื่อว่าราคาทองคำในเดือน ธ.ค.61 จะใกล้เคียงกับราคาทองคำในเดือน พ.ย.61 จำนวน 6 ราย และคาดว่าราคาทองคำจะเพิ่มขึ้น จำนวน 3 ราย ส่วนที่คาดว่าราคาทองคำจะลดลง มีจำนวน 1 ราย
สำหรับการคาดการณ์ราคาทองคำเดือน ธ.ค.61 ของผู้ประกอบกิจการค้าทองคำรายใหญ่มีมุมมองดังนี้ Gold Spot ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 1,192 – 1,254 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ด้านราคาทองคำแท่งในประเทศความบริสุทธิ์ 96.5% ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 18,700 – 19,500 บาท ต่อน้ำหนัก 1 บาททองคำ และด้านค่าเงินบาทไทยให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 32.47 – 33.28 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ
การลงทุนทองคำในเดือนธ.ค.61 ผู้ค้าทองคำรายใหญ่ให้ความเห็นว่า ราคาทองคำในประเทศอาจแกว่งตัวภายในกรอบ ขณะที่ทองคำในตลาดโลกอาจมีปริมาณการซื้อขายที่เบาบาง เนื่องจากในเดือน ธ.ค.นี้ ตลาดเงินทุนสหรัฐฯ ปิดทำการในวันคริสต์มาส และวันหยุดยาวช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยแนะนำนักลงทุนอาจรอซื้อเมื่อราคาทองคำย่อลง เพื่อทำกำไรใกล้แนวต้านที่บริเวณ 1,260 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์
อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยต่อราคาทองคำที่ต้องติดตามในเดือนธ.ค.61 ดังนี้
1. นโยบายทางการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) กลุ่มตัวอย่างให้ความเห็นว่า นักลงทุนยังคงให้ความสนใจนโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 4 ในเดือนธ.ค.นี้ แม้ว่าปัจจุบันปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง แต่ตลาดได้มีการปรับตัวรับต่อการคาดการณ์ดังกล่าวแล้ว จึงไม่ได้เพิ่มแรงกดดันต่อราคาทองคำมากนัก
2. ความไม่แน่นอนทางการเมืองของสหรัฐฯ กลุ่มตัวอย่างให้ความเห็นว่า ประธานคณะกรรมการบริการทางการเงินของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ แสดงความชัดเจนว่ามีความมุ่งหมายผลักดันให้กฎระเบียบในภาคการเงินเข้มงวดมากขึ้น และต้องการให้เฟดตรวจตราธนาคารขนาดใหญ่อย่างเข้มงวด นอกจากนี้ หากประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าเจรจาต่อรองเรื่องงบประมาณในสภาคองเกรสต่อ อาจจะมีการปิดหน่วยงานรัฐบาลบางส่วนเกิดขึ้นได้ในเดือนธ.ค.นี้ ทั้งนี้ การที่สภาคองเกรสประกอบด้วย 2 พรรค อาจจะส่งผลเชิงลบต่อดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากแนวโน้มความขัดแย้งทางนิติบัญญัติจะเป็นการยากที่จะนำเสนอนโยบายต่างๆ
3. ความไม่แน่นอนทางการเมืองของอังกฤษ กลุ่มตัวอย่างให้ความเห็นว่า ปัญหาทางการเมืองของอังกฤษ ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเทเรซา เมย์ เมื่อคณะรัฐมนตรีของอังกฤษหลายคนประกาศลาออกจากรัฐบาลชุดนี้ เนื่องจากไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับประเด็น Brexit โดยรัฐบาลจะสามารถรวบรวมเสียงข้างมากในสภาเพื่อผ่านการอนุมัติร่างแผน Brexit ได้หรือไม่ ทั้งนี้ อังกฤษมีความจำเป็นที่จะต้องบรรลุข้อตกลง Brexit หลังจากที่อังกฤษแยกตัวออกจาก EU อย่างเป็นทางการในวันที่ 29 มี.ค.62
4. สถานการณ์ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน กลุ่มตัวอย่างให้ความเห็นว่า นักลงทุนคลายความกังวลเรื่องสงครามการค้า เนื่องจากการเจรจายุติสงครามการค้าชั่วคราวเมื่อปลายเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปในทิศทางที่ดี ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ถูกเทขายลงมา และหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นได้