นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้จัดอบรมเชิงปฏิบัติการพัฒนาศักยภาพผู้บังคับหลักประกัน เรื่อง "ไต่สวนให้รู้ วินิจฉัยให้ชัด ผู้บังคับไม่ถูกคัดค้าน" ให้กับผู้บังคับหลักประกันกลุ่มวิชาชีพทนายความ โดยมีผู้บังคับหลักประกันที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเข้าร่วมอบรมกว่า 50 คน ทั้งนี้ นายสมชัย ฑีฆาอุตมากร ผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา ผู้เชี่ยวชาญด้านการไต่สวนและพิจารณาคดีความ ได้มาร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้ เพื่อให้ผู้เข้าร่วมอบรมได้นำความรู้ไปใช้ในการไต่สวนข้อพิพาทและพิจารณาคดีความที่เกิดขึ้นจากเหตุบังคับหลักประกัน พร้อมทั้งสามารถวินิจฉัยผลสรุปออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรมต่อคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย
การอบรมในครั้งนี้ เป็นการเสริมความรู้ด้านกระบวนการบังคับหลักประกันที่มีเนื้อหาครบถ้วนในทุกมิติ อาทิ กระบวนการบังคับหลักประกันที่เป็นกิจการ กระบวนการบังคับหลักประกันที่เป็นธุรกิจ กระบวนการที่เกี่ยวกับคำสั่งบังคับหลักประกัน กระบวนการในขั้นตอนของศาล การบังคับหลักประกันตามคำวินิจฉัยของผู้บังคับหลักประกัน การจัดสรรชำระ และการคัดค้านผู้บังคับหลักประกัน โดยเน้นสาระสำคัญเกี่ยวกับกระบวนการและวิธีการไต่สวนพิจารณาข้อพิพาทที่เกี่ยวกับสัญญาทางธุรกิจ เพื่อวินิจฉัยข้อเท็จจริงพร้อมตัดสินข้อพิพาทสัญญาทางธุรกิจ
ดังนั้น ผู้บังคับหลักประกันจึงจำเป็นต้องมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ทุกด้าน ทั้งด้านกฎหมายบัญชี, เศรษฐศาสตร์, บริหารธุรกิจ หรือการประเมินราคาทรัพย์สินอย่างถ่องแท้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านกฎหมายและการไต่สวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการบังคับหลักประกัน เพื่อสามารถเป็นผู้วินิจฉัยเหตุบังคับหลักประกัน ตรวจสอบ ประเมินราคา รวมถึงเป็นผู้บริหารกิจการต่อไปจนกว่าจะจำหน่ายกิจการเพื่อนำมาชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ได้
"การนำทรัพย์สินที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจมาใช้เป็นหลักประกันทางธุรกิจ จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น ลดข้อจำกัดด้านเงื่อนไขหลักประกัน ได้รับต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสม สร้างความเสมอภาคในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนมากขึ้น เพิ่มโอกาสและศักยภาพของผู้ประกอบการในการทำธุรกิจจากการได้รับเงินทุนสนับสนุน ลดปัญหาการกู้ยืมนอกระบบ สถาบันการเงินมีหลักประกันในการชำระหนี้ตามกฎหมายเพิ่มขึ้น ลดความเสี่ยงเรื่องการผิดนัดชำระหนี้ เพิ่มโอกาสในการขยายการให้สินเชื่อ รวมถึงเป็นการส่งเสริมการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม" อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กล่าว
ปัจจุบัน (4 ก.ค.59 - 11 ธ.ค.61) มีผู้มาขอจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแล้ว จำนวน 321,792 คำขอ มูลค่าทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกัน รวมทั้งสิ้น 5,688,279 ล้านบาท โดยสิทธิเรียกร้องประเภทบัญชีเงินฝากธนาคาร ยังคงเป็นทรัพย์สินที่ใช้เป็นหลักประกันมากที่สุด คิดเป็น 50.15% (มูลค่า 2,852,397 ล้านบาท) รองลงมา คือ สิทธิเรียกร้องประเภทลูกหนี้การค้า สัญญาจ้าง สัญญาเช่า สัญญาซื้อขาย คิดเป็น 27.17% (มูลค่า 1,545,287 ล้านบาท) สังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ ได้แก่ สินค้าคงคลัง, วัตถุดิบ, เครื่องจักร, รถยนต์, เรือ, ช้าง คิดเป็น 22.65% (มูลค่า 1,288,229 ล้านบาท) ทรัพย์สินทางปัญญา คิดเป็น 0.04% (มูลค่า 1,975 ล้านบาท) กิจการ คิดเป็น 0.005% (มูลค่า 266 ล้านบาท) และอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการประกอบธุรกิจ คิดเป็น 0.002% (มูลค่า 125 ล้านบาท)