นายพิเชษฐ์ ดุรงคเวโรจน์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cyber Security Law) เพื่อเตรียมรับมือการโจมตีและภัยคุกคามทางไซเบอร์ ซึ่งแบ่งเป็นกลไกของการเฝ้าระวัง กลไกการป้องกัน กลไกของการรับมือ กลไกการลดความเสี่ยงทั้งรายสาขา และระดับความมั่นคงของภาครัฐ โดยรายสาขา ได้แก่ สาขาการเงินการธนาคาร สาขาขนส่ง สาขาโลจิสติกส์ สาขาพลังงาน สาขาสาธารณูปโภค สาขาสาธารณสุข สาขาคมนาคม สาขาบริการภาครัฐ
โดยร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้กำหนดภัยคุกคามเป็น 3 ระดับ คือ ระดับเฝ้าระวัง ระดับร้ายแรง และระดับวิกฤต เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายไซเบอร์ในต่างประเทศ
ทั้งนี้จะมีการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ โดยในระหว่างที่รอโปรดเกล้าฯ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาก็จะใช้กลไกของคณะกรรมการเตรียมการไซเบอร์แห่งชาติที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการทำงานจนกว่าการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์จะเสร็จสมบูรณ์
นอกจากนี้ ครม.ยังเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเกี่ยวข้องคน 3 กลุ่ม คือ เจ้าของข้อมูล (Data Owner) ผู้ควบคุมข้อมูล (Data Controller) และผู้ประมวลผลข้อมูล (Data Professor) และจะมีการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
นายพิเชษฐ์ กล่าวว่า ยังมีร่าง พ.ร.บ.อีก 4 ฉบับที่กำลังผลักดันให้ออกมาเป็นกฎหมาย โดย 2 ฉบับแรกตนเองกำลังจะเข้าชี้แจงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในวันพฤหัสบดีนี้ คือ ร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็คทรอนิกส์ กับ ร่าง พ.ร.บ.สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็คทรอนิกส์
ส่วนอีก 2 ฉบับที่กำลังจะเสนอเข้าที่ประชุม สนช.คือ ร่าง พ.ร.บ.การพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล และร่าง พ.ร.บ.สภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย ซึ่งเกิดขึ้นจากการทำงานร่วมกันของภาครัฐและเอกชน
"เราคุ้นเคยกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าฯ แต่ตอนนี้สภาดิจิทัลแจ้งเกิดแล้วเนื่องจากต้องมีเอกชนมาทำงานร่วมกันมากขึ้น อะไรที่จะสามารถสนับสนุนสังคมได้ก็ต้องเป็นกลุ่มเป็นก้อนช่วยกัน รวมทั้งเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาบุคลากรทางด้านดิจิทัล" นายพิเชษฐ์ กล่าว