นายพิชัย นริพทะพันธุ์ คณะทำงานเศรษฐกิจ พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% จากเดิม 1.50% เป็น 1.75% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไทยกำลังย่ำแย่
ทั้งนี้ การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลให้ประชาชนมีรายจ่ายเพิ่มขึ้นถึง 10,000 ล้านบาท จากการตรวจสอบพบว่า สภาพคล่องในระบบธนาคารยังมีอยู่มาก อีกทั้งไม่ปรากฏการไหลออกของเงินตราต่างประเทศ โดยเงินทุนสำรองของไทยก็ยังมีอยู่ในระดับที่สูงมากถึงประมาณ 2 แสนล้านดอลลาร์ และอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ ราคาน้ำมันในตลาดโลกลดลงมาอย่างมากและมีแนวโน้มจะอยู่ในระดับราคาต่ำเป็นระยะเวลานาน เงินเฟ้อจึงไม่น่าจะเป็นปัญหา จึงไม่มีเหตุผลอันควรที่จะต้องเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
นายพิชัย กล่าวว่า อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยยังอยู่ในระดับที่ต่ำ และต่ำที่สุดในอาเซียนมาตลอด 4 ปีนี้ อีกทั้งรายได้ของประเทศที่เพิ่มขึ้นยังไปกระจุกกับคนบางกลุ่มเท่านั้น คนส่วนใหญ่ยังลำบากกันอย่างมาก การขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ยิ่งลำบากจากหนี้ภาคครัวเรือนของไทยที่ยังอยู่ในระดับสูง และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยทำให้เงินบาทแข็งค่าทันที และมีแนวโน้มจะแข็งค่าขึ้นอีก ซึ่งจะส่งผลต่อการส่งออกในภาวะสงครามการค้า
นายพิชัย กล่าวว่า อยากให้ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ปรับวิธีคิดและวิธีการทำงานให้เข้ากับสภาวะการณ์ของโลกที่เปลี่ยนไป โดยเพิ่มพลวัต อยากให้ดูตัวอย่างประเทศสิงคโปร์ที่มีระบบการจัดการของธนาคารกลางที่ปรับเปลี่ยนรวดเร็วทันสถานการณ์ของโลกทำให้เศรษฐกิจสิงคโปร์ก้าวกระโดด และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้ ถึงขนาดอดีตผู้ว่าการธนาคากลางของประเทศสิงคโปร์จะขึ้นมาเป็นทายาททางการเมืองสืบต่อจากนายลีเซียนลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์คนปัจจุบัน โดยอยากให้ธนาคารแห่งประเทศไทยยึดอัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสม เป็นเป้าหมายหลักทางนโยบายการเงินมากกว่าจะใช้อัตราเงินเฟ้อเป็นตัวกำหนดเหมือนในอดีต
"เชื่อว่าอัตราแลกเปลี่ยนที่อ่อนค่าจะช่วยให้ประเทศไทยได้ประโยชน์และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันได้ โดยประเทศที่มีค่าเงินที่อ่อนจะมีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงขึ้น เช่น ประเทศญี่ปุ่นในอดีตสมัยที่ค่าเงินเยนอ่อน หรือประเทศจีนที่ได้ประโยชน์จากค่าเงินหยวนที่อ่อนค่ากว่าความเป็นจริง" นายพิชัย กล่าว