นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ เชื่อว่า เศรษฐกิจไทยในปี 61 จะสามารถขยายตัวได้ในระดับ 4.0-4.2% อย่างแน่นอน ซึ่งเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยหลายตัวเริ่มดีขึ้น ทั้งการเบิกจ่าย การท่องเที่ยวในจังหวัดสำคัญกลับมาฟื้นตัว รวมทั้งการลงทุน โดยเฉพาะการลงทุนในพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่ขยายตัวถึง 100%
"จีดีพีปี 61 ขึ้นกับผลประกอบการของเดือนธ.ค.ด้วย ถ้าเบิกจ่ายได้ดี ก็น่าจะไปถึง 4.2% แต่ถ้าไม่ดี ก็อาจจะลดลงมาเล็กน้อย แต่คาดว่าจะโตได้ 4-4.2% แน่นอน เพราะการลงทุนก็ทะลุเป้า โดยเฉพาะใน EEC ที่โตถึง 100% การท่องเที่ยวฟื้นแล้ว โดยเฉพาะในจังหวัดสำคัญ สินค้าเกษตรราคากระเตื้องขึ้นบ้าง...ปี 61 ถ้าจีดีพีโตได้ถึง 4% ถือว่าดีมาก คงมีเพียงรากหญ้า ที่จะต้องได้รับการดูแลอย่างจริงจังในอนาคต" นายสมคิดกล่าวในงาน Thailand Economic Challenges 2019
ส่วนสถานการณ์ในปี 62 นี้ ถือว่าอยู่ในภาวะที่ค่อนข้างอึมครึม และชี้ชัดได้ลำบากเนื่องจากมีปัจจัยจากต่างประเทศที่ไม่สามารถควบคุมได้ โดยเฉพาะนโยบายภายใต้การนำของประธานาธิบดีสหรัฐที่ทำให้เกิดความไม่แน่นอนต่าง ๆ รวมทั้งปัจจัยภายในประเทศเอง ที่ปีนี้จะมีการเลือกตั้งทั่วไปเกิดขึ้น แต่คาดว่าภายในกลางปี ก็น่าจะเห็นความชัดเจนว่ารัฐบาลชุดที่มาใหม่จะมีหน้าตาอย่างไร และจะมีการสานต่อนโยบายของรัฐบาลชุดเดิมหรือไม่
"ภาวะปีนี้ค่อนข้างอึมครึม มีความไม่แน่นอน ไทยเจอ 2 เด้ง คือ 1 จากภายนอกซึ่งทุกคนต้องเตรียมพร้อม และ 2 คือ เราจะมีเลือกตั้ง ใครจะมาเป็นรัฐบาล รัฐบาลหน้าจะเป็นใคร นโยบายเดิมจะมีการสานต่อหรือไม่ เรื่องนี้ใจเขาใจเรา นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศจับตาดูสถานการณ์ปีนี้ ปีนี้เป็นปีที่ไม่แน่นอน จะดีมาก ดีน้อย หรือไม่ดี เป็นหน้าที่รัฐบาลหน้าดูแลต่อไป ส่วนรัฐบาลนี้หน้าที่คือต้องประคองเศรษฐกิจให้ดี ตลาดโลกทรุดเราอย่าทรุดตามเขา เราต้องรับสภาพจริงว่าโลกเป็นแบบนี้ สิ่งที่คุมได้คือสถานการณ์ในประเทศ นักการเมืองและประชาชนต้องดูแลเรื่องเหล่านี้"นายสมคิด กล่าว
ทั้งนี้ นายสมคิด ยังเชื่อว่า ปีนี้ยังถือเป็นโอกาสของไทย เนื่องจากทั้งจีนและญี่ปุ่นยังมองเห็นว่า ไทยถือเป็นประเทศที่น่าลงทุนและเป็นคู่ค้าที่สำคัญในตลาดอาเซียน นักธุรกิจจากจีน ญี่ปุ่นและฮ่องกง ยังมีความสนใจใช้ไทยเป็นฐานในการขยายตลาดไปสู่กลุ่ม CLMV แต่หากไทยมัวแต่ทะเลาะกัน เวียดนาม หรือมาเลเซียอาจจะแซงไทยได้ สิ่งสำคัญคือ เราต้องทำให้ตัวเราเองมีจุดเด่นสูงสุด ด้วยการปฏิรูปประเทศ ช่วยกันเปลี่ยนแปลงประเทศแม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายแต่ทุกคนช่วยกัน ทั้งในเรื่องการปฏิรูปภาคเกษตร ส่งเสริมการผลิตให้เชื่อมโยงกับตลาด ส่งเสริมให้เกิดการแปรรูปสินค้าเกษตร และทำการค้าผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ
นายสมคิด กล่าวเพิ่มเติมว่า จากตัวเลขนักท่องเที่ยวปีที่ผ่านมา ซึ่งมี 38 ล้านคน แต่กลับกระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่ เช่น ที่เชียงใหม่ที่นักท่องเที่ยว 8-10 ล้านคน จังหวัดภูเก็ตมีนักท่องเที่ยว 10 ล้านคน ต้องมีการส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวในเมืองรอง เพื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยสินค้าเกษตรในชุมชนไปด้วย ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ต้องมีการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวและปรับปรุงระบบคมนาคม เชื่อมต่อเส้นทางรถไฟในต่างจังหวัดให้เข้าถึงแหล่งชุมชมให้มากขึ้น
นายสมคิด ระบุอีกว่า ในช่วงเวลาที่เหลือ จะเร่งผลักดันโครงการสำคัญๆให้หมด ทั้งการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เมืองการบิน การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง และมาบตาพุด รวมถึงผลักดันการเชื่อมต่อทางเศรษฐกิจในภาคใต้จากฝั่งอันดามันสู่อ่าวไทย ส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมาย และสร้างสตาร์ทอัพใหม่ๆ รวมถึงส่งเสริมด้านดิจิทัล ซึ่งถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาลนี้รวมถึงรัฐบาลที่ต้องสร้างดิจิทัลอิโคโนมี ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก
นอกจากนี้ นายสมคิด กล่าวว่า ในปีนี้จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นแน่นอน แม้สื่อบางสำนักจะวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองว่า จะได้รัฐบาลที่อาจไม่มีเสถียรภาพเพราะเป็นรัฐบาลผสม มีการต่อรองตำแหน่งทางการเมือง และเดินหน้าประเทศลำบาก แต่สิ่งสำคัญ นายสมคิดมองว่า ประเทศไทยไม่มีเวลาอีกแล้ว ซึ่งหากภายในปีนี้และปีหน้าถ้าสามารถขับเคลื่อนนโยบายได้อย่างต่อเนื่อง เป็นไปได้ด้วยดี เตรียมความพร้อมให้กับประเทศ เชื่อว่าประเทศจะทะยานต่อไปได้ สอดรับการสถานการณ์โลกที่เชื่อว่า ในช่วงครึ่งปีหลังจะคลี่คลาย ความมั่นใจของต่างชาติต่อรัฐบาลใหม่น่าจะมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม นายสมคิด มองว่า ต้องช่วยกันทำให้รัฐบาลผสมที่จะเกิดขึ้น ช่วยกันขับเคลื่อนประเทศเดินไปข้างหน้า พิสูจน์ให้ต่างชาติได้เห็นว่า รัฐบาลผสมก็สามารถเดินหน้าประเทศได้อย่างยั่งยืน
"ผมไม่รู้พรรคไหนจะมา ก็ฝากทุกพรรค...พิสูจน์ให้ชาวโลกเขาดูว่า เมืองไทยมันเป็นเอกภาพได้ รัฐบาลผสมที่ทำเพื่อชาติ ร่วมสร้างชาติให้เกิดความยั่งยืน ทำได้หรือไม่"นายสมคิด กล่าว