นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้นัดประชุมวาระพิเศษร่วมกับสมาคมโรงพยาบาลเอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งกระทรวงสาธารณสุข สมาคมประกันชีวิตและวินาศภัย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เพื่อหารือในประเด็นที่คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) มีมติเมื่อวันที่ 9 ม.ค.62 ให้นำยาและเวชภัณฑ์ และบริการทางการแพทย์ เข้าเป็นสินค้าและบริการควบคุม ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาและบริการ พ.ศ.2542 และกระทรวงพาณิชย์จะนำมติ กกร.ดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายใน 1-2 สัปดาห์
ทั้งนี้ โรงพยาบาลเอกชน ต้องการแสดงความคิดเห็นและข้อเสนอแนะถึงมาตรการที่จะนำมาใช้ในการกำกับดูแลก่อนที่กระทรวงพาณิชย์จะนำเสนอ ครม. ดังนั้นกระทรวงฯ จึงได้เปิดโอกาสให้มาหารือร่วมกัน เพื่อพิจารณามาตรการที่เหมาะสมและเป็นไปได้
นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ผลการหารือครั้งนี้เอกชนมีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เพราะโครงสร้างบริการทางการแพทย์มีความซับซ้อน ไม่ใช่แค่หนึ่งบวกหนึ่งเป็นสอง โรคเดียวกัน อาจจะใช้วิธีการรักษาไม่เหมือนกัน เครื่องมือที่จะนำมาใช้แตกต่างกัน บริการก็แตกต่างกัน หรือกระทั่งหมอที่รักษาก็มีความเชี่ยวชาญต่างกัน การใช้มาตรการแบบเหมารวมจะถือว่าไม่เป็นธรรม ดังนั้นจึงต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบที่สุด วิธีการที่จะนำมาดูแลต้องเหมาะสม และเป็นธรรมกับผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชน และผู้บริโภคด้วย
ส่วนกรณีว่ากระทรวงพาณิชย์จะยังคงนำมติ กกร.เข้าสู่การพิจารณาของครม.ภายในสัปดาห์หน้าหรือไม่นั้น นายสนธิรัตน์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้ เพราะกระทรวงพาณิชย์ต้องนำข้อเสนอแนะจากการประชุมครั้งนี้ ไปหารือเป็นการภายในอีกครั้ง เมื่อได้ความชัดเจนถึงมาตรการที่จะนำมาใช้กำกับดูแลยาและเวชภัณฑ์ และบริการทางการแพทย์แล้ว จึงนำเสนอขอความเห็นชอบจาก ครม. เพราะภาคเอกชนต้องการเห็นมาตรการจะใช้กำกับดูแลที่ชัดเจนก่อน
"ยืนยันว่า ผมจะไม่เปลี่ยนจุดยืนในการดูแลผู้บริโภค และไม่มีใครมาล็อบบี้ให้ยกเลิกการนำยาและเวชภัณฑ์ และบริการทางการแพทย์เป็นสินค้าและบริการควบคุม แต่การจะใช้มาตรการใด ๆ ต่อภาคธุรกิจ จำเป็นต้องพิจารณาถึงผลกระทบให้รอบด้าน รวมถึงต้องเป็นมาตรการที่จะต้องสร้างความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายด้วย" รมว.พาณิชย์ระบุ
ด้าน นพ.พงษ์พัฒน์ ปธานวนิช นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการนำยาและเวชภัณฑ์ และค่าบริการทางการแพทย์ของโรงพยาบาลเอกชนเป็นสินค้าและบริการควบคุม เพราะโรงพยาบาลเอกชนมีมาตรการที่โปร่งใสอยู่แล้ว และที่ผ่านมา กระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้ควบคุมดูแล จึงมั่นใจได้ว่าการบริการของโรงพยาบาลมีความโปร่งใส่
ขณะที่ น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า กรณีที่หุ้นโรงพยาบาลเอกชนร่วงหนัก มองว่าเรื่องหุ้นมีขึ้นมีลง ถือเป็นไปตามภาวะตลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่สิ่งสำคัญ คือ การดูแลชีวิตของคน ที่รัฐบาลควรจะต้องให้ความสำคัญมากกว่า ซึ่งมูลนิธิฯ จะติดตามการแก้ไขปัญหาดังกล่าวของกระทรวงพาณิชย์
ทั้งนี้ เห็นว่ามาตรการที่ควรจะนำมาใช้ คือ การกำหนดส่วนต่างของต้นทุนและกำไรของโรงพยบาลที่เหมาะสม เพราะค่าใช้จ่ายโรงพยาบาลรัฐและเอกชนต่างกันมาก เช่น ราคายา โรงพยาบาลเอกชนสูงกว่าโรงพยาบาลรัฐ 20-400 เท่า ค่าผ่าตัดไส้ติ่งเอกชนแพงกว่ารัฐ 14 เท่า แต่ของสิงคโปร์ค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลรัฐและเอกชนห่างกันเพียง 2.5 เท่า หากกระทรวงพาณิชย์ไม่เดินหน้าต่อ มูลนิธิฯ จะฟ้องศาลปกครองว่า รมว.พาณิชย์ผิดมาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ไม่ดูแลประชาชน