(เพิ่มเติม2) รองเลขาฯ สภาพัฒน์คาด GDP ไตรมาส 4 โต 5.5%,ทั้งปี 50 โต 4.7%

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday January 17, 2008 18:27 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายอาคม เติมวิทยาไพสิฐ รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สภาพัฒน์) กล่าวว่า สภาพัฒน์ได้ประเมินว่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ(จีดีพี) ในช่วงไตรมาส 4/50 จะขยายตัวที่ระดับ 5.5% เนื่องจากการส่งออกขยายตัวสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ทั้งปี 50 จีดีพีขยายตัวในระดับ 4.7% ซึ่งสูงกว่าที่ประเมินไว้ที่ 4.5%
ทั้งนี้ สภาพัฒน์จะได้จัดทำแผนงานเสนอให้รัฐบาลชุดใหม่พิจารณาดำเนินการ โดยนำข้อเสนอของภาคเอกชนมาประมวลเอาไว้ด้วย เช่น แผนโลจิสติกส์, การพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้(เซาเทิร์นซีบอร์ด), การเร่งรัดโครงการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชน 5 สาย, การขยายเวลาโครงการกองทุนสนับสนุนเอสเอ็มอีไปจนถึงสิ้นปี 51, การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เป็นต้น แต่จะสรุปเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันได้พิจารณาก่อน
พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย กล่าวภายหลังประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน(กกร.)ว่า งานที่ภาคเอกชนต้องการให้รัฐบาลสานต่อ คือ โครงการเมกะโปรเจ็คต์ และโครงการรถไฟรางคู่ ซึ่งขณะนี้บางส่วนก็คืบหน้าไปแล้ว แต่บางส่วนยังอยู่ในช่วงการประมูล ซึ่งภาคเอกชนต้องการให้เกิดความต่อเนื่อง นอกจากนี้ภาคเอกชนยังต้องการให้รัฐบาลส่งเสริมการขนส่งทางน้ำให้มากขึ้นด้วย
ส่วนการทำงานระว่างรัฐบาลและภาคเอกชนตลอดช่วง 1 ปีที่ผ่านมานั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ภาคเอกชนให้ความร่วมมือกับภาครัฐได้อย่างเป็นประโยชน์อย่างมาก แต่ยังมีบางอย่างต้องสานต่อให้เกิดความก้าวหน้าต่อไป และอยากเห็นรัฐบาลทำงานร่วมกับภาครัฐอย่างนี้ตลอดไป
นายธวัชชัย ยงกิตติคุณ เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า รัฐบาลได้เห็นชอบให้ขยายเวลากองทุนช่วยเหลือธุรกิจเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาท วงเงิน 5,000 ล้านบาท ที่เหลืออยู่อีก 3,284 ล้านบาทที่จะสิ้นสุดในสิ้นเดือนม.ค.นี้ ออกไปจนถึงสิ้นเดือนธ.ค.2551 เพราะเห็นว่าขณะนี้ค่าเงินบาทยังมีความผันผวน ส่วนที่ผ่านมามีการใช้เงินในกองทุนไปเพียง 1,716 ล้านบาท เนื่องจากผู้ที่ขอความช่วยเหลือมีคุณสมบัติไม่ตรงตามที่กำหนด
นายดุสิต นนทะนาคร รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ภาคเอกชนต้องการให้รัฐบาลใหม่ให้ความสำคัญเรื่องของโลจิสติกส์ โดยหาทางเปลี่ยนไปใช้ทางเรือและรถไฟมากขึ้นเพื่อลดต้นทุนการขนส่ง และเห็นว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากต่อการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศ
ขณะเดียวกันรัฐบาลใหม่จะต้องสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจให้กับผู้บริโภคและนักลงทุนในและต่างประเทศ เพราะที่ผ่านมาการขาดความเชื่อมั่นได้ส่งผลให้การลงทุนลดลง หากรัฐบาลใหม่ไม่เข้ามาสร้างความเชื่อมั่นก็ยังไม่เห็นว่าจะมีเรื่องใดมากระตุ้นเศรษฐกิจในปีนี้ได้

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ