พาณิชย์จัดสัมมนาปิดจุดอ่อนเพิ่มจุดแข็งให้ธุรกิจรับเหมารายย่อย เชื่อเป็นช่วงปีทองวงการรับเหมา

ข่าวเศรษฐกิจ Tuesday January 15, 2019 10:37 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ คาดว่าปีนี้จะเป็นปีทองธุรกิจรับเหมาก่อสร้างรายย่อยของไทย หลังพบว่าผู้บริโภคนิยมใช้บริการผู้รับเหมาก่อสร้างรายย่อยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีที่ผู้ประกอบการก่อสร้างรายย่อยของไทยจะเร่งพัฒนาศักยภาพ และการบริหารจัดการให้เป็นระบบและมีมาตรฐานรองรับความต้องการใช้บริการของลูกค้าที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น รวมทั้งปิดจุดอ่อน-เพิ่มจุดแข็งให้แก่ธุรกิจในภาวะที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

กรมฯ จึงได้ร่วมมือกับสมาคมไทยรับสร้างบ้าน ติดอาวุธด้านการบริหารจัดการธุรกิจแก่ผู้ประกอบการก่อสร้างรายย่อยของไทยให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความมั่นคงแข็งแกร่ง โดยเน้นการให้ความรู้เชิงลึกแบบครบทุกมิติของธุรกิจก่อสร้าง เช่น การวิเคราะห์สถานการณ์ตลาดธุรกิจก่อสร้างและแนวโน้มในอนาคต การขยายตลาดผ่านช่องทางออนไลน์ การแก้ปัญหาความขัดแย้งในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างพร้อมการบริหารความขัดแย้งและวิธีการป้องกัน ปัญหางานก่อสร้างที่พบบ่อย การแก้ไขเชิงลึก และเทคนิคการก่อสร้าง วิธีการจัดการต้นทุนไม่ให้บานปลายและข้อพึงระวัง การถ่ายทอดประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญในการบริหารจัดการธุรกิจและการบริการลูกค้าให้เกิดความพึงพอใจสูงสุด และพร้อมที่จะกลับมาใช้บริการซ้ำ รวมทั้งการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างรายย่อยเพื่อให้เกิดการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน และมีโอกาสที่จะพัฒนาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกันในอนาคต

นายวุฒิไกร กล่าวว่า ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างรายย่อยของไทยยังมีจุดอ่อน คือ การบริหารจัดการธุรกิจที่ไม่เป็นระบบ ขาดองค์ความรู้ที่จำเป็นในการบริหารธุรกิจ เช่น การคำนวณต้นทุนค่าก่อสร้าง การตลาด การบริหารงานบุคคล การเงินและบัญชี ระบบภาษี กฎหมายและสัญญารับจ้าง รวมทั้งต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากผู้รับเหมารายย่อยมีจำนวนมาก การต่อสู้ทางการตลาดโดยการลดราคาเพื่อให้ได้งาน อำนาจการต่อรองราคาที่ค่อนข้างต่ำ ใช้ระบบการก่อสร้างแบบดั้งเดิม ทำให้ต้องพึ่งพาการใช้แรงงานมากกว่าเทคโนโลยีการก่อสร้างแบบสำเร็จรูปที่สามารถช่วยลดต้นทุนแรงงาน

"การเพิ่มพูนองค์ความรู้เชิงลึกแบบครบทุกมิติของธุรกิจก่อสร้าง จะช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าใจ/เข้าถึงแก่นแท้ของธุรกิจก่อสร้างมากขึ้นและมีระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ สามารถรับงานได้อย่างสมเหตุผล ซึ่งจะส่งผลต่อความเข้มแข็งของธุรกิจในระยะยาว และผลประกอบการที่เป็นกำไรในอนาคต พร้อมที่จะขยายและพัฒนาธุรกิจให้เติบโตไปในทิศทางที่ถูกต้อง รวมทั้ง ส่งผลต่อการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น และมีความเชื่อมโยงกับธุรกิจต่อเนื่องที่หลากหลาย เช่น ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น"อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุ

ทั้งนี้ ข้อมูลจากศูนย์วิจัยธนาคารกรุงศรีอยุธยา รายงานว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการลงทุนในธุรกิจก่อสร้างของประเทศไทยมีสัดส่วนเฉลี่ย 8.4% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) และคาดการณ์ว่ามูลค่าการลงทุนในธุรกิจก่อสร้างของไทยระหว่างปี 61-63 จะขยายตัวเฉลี่ย 7-9% ต่อปี เป็นผลมาจากการขยายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ และงานก่อสร้างของภาคเอกชนฟื้นตัว โดยเฉพาะการก่อสร้างที่อยู่อาศัย และพาณิชยกรรมตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าใหม่ และโรงงานที่จะเติบโตในพื้นที่พัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก รวมทั้งปริมาณงานก่อสร้างในประเทศเพื่อนบ้านมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการขยายการลงทุนภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นโอกาสให้ผู้รับเหมาก่อสร้างของไทยสามารถขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงได้เพิ่มมากขึ้น

ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 31 ธ.ค.61 มีธุรกิจก่อสร้างที่ดำเนินกิจการอยู่ในประเทศไทยทั้งสิ้น 61,062 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 1,146,401 ล้านบาท แบ่งเป็น ธุรกิจก่อสร้างขนาดเล็ก (S) จำนวน 60,554 ราย (ทุนจดทะเบียน 1,002,724 ล้านบาท) ธุรกิจก่อสร้างขนาดกลาง (M) จำนวน 420 ราย (ทุนจดทะเบียน 58,958 ล้านบาท) และธุรกิจก่อสร้างขนาดใหญ่ (L) จำนวน 88 ราย (ทุนจดทะเบียน 84,718 ล้านบาท)


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ