นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษาร่วมด้านการอำนวยความสะดวกทางการค้าของอาเซียน (ASEAN Trade Facilitation Joint Consultative Committee: ATF-JCC) เมื่อวันที่ 12-13 ม.ค.62 ว่า ได้มีข้อสรุปเรื่องแผนงานอาเซียนเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าในปี 2562
โดยจะเน้น 3 เรื่องหลักคือ 1.การตรวจสอบและกำกับดูแลให้การใช้มาตรการที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Measures) ของสมาชิกอาเซียนเป็นไปตามหลักการที่รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนเห็นชอบแล้วเมื่อปี 61 อาทิ ก่อนใช้มาตรการต้องเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแสดงความเห็น มาตรการที่ใช้จะต้องโปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติ ต้องมีการทบทวนการใช้มาตรการ และลดเลิกมาตรการเมื่อไม่มีความจำเป็นหรือส่งผลเป็นอุปสรรคด้านการค้า
2.กำกับและประเมินผลการดำเนินการตามพันธกรณีความตกลงว่าด้วยการอำนวยความสะดวกทางการค้าขององค์การการค้าโลก (WTO) และ 3.ให้ประเทศสมาชิกนำผลการศึกษาระยะเวลาตรวจปล่อยสินค้า ณ ด่านศุลกากร มาใช้เป็นเครื่องมือในการวัดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของการอำนวยความสะดวกทางการค้าของประเทศสมาชิก
นางอรมน กล่าวว่า ที่ประชุมอาเซียนยังได้หารือร่วมกับตัวแทนจากภาคธุรกิจของอาเซียนเรื่องการพัฒนากลไกความร่วมมือระหว่างรัฐและเอกชน เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการใช้มาตรการที่มิใช่ภาษีของภาครัฐ และการออกกฎระเบียบทางการค้าต่างๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ประกอบการในการดำเนินธุรกิจในอาเซียน
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้หารือถึงผลการศึกษาเรื่องการอำนวยความสะดวกทางการค้าของอาเซียน ที่สถาบันวิจัยทางเศรษฐกิจเพื่ออาเซียนและเอเชียตะวันออก (ERIA) ดำเนินการในเรื่องการคำนวณต้นทุนธุรกรรมทางการค้าของสมาชิก ที่จะนำไปสู่การลดต้นทุนธุรกรรมทางการค้า (Trade Transaction Cost) ของอาเซียนให้ได้ 10% ในปี 63 และเพิ่มมูลค่าการค้าในภูมิภาคอาเซียนขึ้น 2 เท่าในปี 68
ผลการสำรวจเบื้องต้นพบว่า ไทยติดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีความก้าวหน้าของการอำนวยความสะดวกทางการค้า 3 อันดับแรกของอาเซียน รองจากสิงคโปร์ และมาเลเซีย โดยมีระดับคะแนนสูงในด้านความโปร่งใสและการเผยแพร่ข้อมูลกฎหมาย กฎระเบียบ และขั้นตอนต่างๆ ต่อสาธารณะ รวมทั้งเป็นหนึ่งในประเทศที่จัดให้มีกระบวนการการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียในการออกกฎหมายและกฎระเบียบทางการค้า ทั้งนี้ คาดว่าผลการศึกษาฉบับสมบูรณ์ของ ERIA จะแล้วเสร็จภายในกลางปี 62
อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า ที่ประชุมให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกทางการค้าแก่ผู้ประกอบการ เช่น การพัฒนาระบบการเชื่อมโยงเอกสารรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าของอาเซียนผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ASEAN Single Window ซึ่งปัจจุบันเชื่อมโยงกันได้แล้ว 5 ประเทศ คือ ไทย, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์ และเวียดนาม ยังเหลืออีก 5 ประเทศที่จะต้องเชื่อมโยงให้เสร็จในปี 62
ระบบดังกล่าว จะช่วยลดระยะเวลาการตรวจสอบเอกสารการนำเข้า-ส่งออกสินค้า การตรวจปล่อยสินค้าและลดต้นทุนแก่ภาคธุรกิจ รวมถึงการเชื่อมโยงระบบคลังข้อมูลการค้าของอาเซียน (ASEAN National Trade Repository: ATR) และการจัดทำระบบการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองของอาเซียน (ASEAN-Wide Self-Certification: ASWC) ให้เป็นระบบเดียวกันให้เสร็จสิ้นภายในปี 62 เป็นต้น