นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ในการดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 2 เป็นเวลา 6 เดือน ตั้งแต่ ม.ค.-มิ.ย.62 ซึ่งเป็นการขยายเวลาจากที่มาตรการระยะที่ 1 ได้หมดอายุไปเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.61
ทั้งนี้ จากผลการติดตามความคืบหน้าการพัฒนาตนเองของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เข้าร่วมมาตรการฯ ข้อมูล ณ สิ้นปี 61 สะท้อนให้เห็นว่า มาตรการดังกล่าวมีผลสำเร็จซึ่งมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหลุดพ้นจากเส้นความยากจน (Poverty Line) หรือมีรายได้มากกว่า 30,000 บาทต่อปีมีจำนวนที่เพิ่มขึ้น และหลุดพ้นจากความยากจนหรือมีรายได้มากกว่า 100,000 บาทต่อปี มีจำนวนถึง 115,116 ราย จากเดิมก่อนพัฒนาที่ไม่มีผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรายใดมีรายได้เกินกว่า 100,000 บาทต่อปี
ดังนั้น เพื่อให้การสนับสนุนและส่งเสริมโอกาสในการพัฒนาตนเองของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และก่อให้เกิดความยั่งยืนในการประกอบอาชีพและการมีรายได้ของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว จึงเห็นควรขยายการดำเนินมาตรการฯ ต่อไปอีก 6 เดือน โดยมีรายละเอียดดังนี้
ในเรื่องหลักการและโครงสร้างการดำเนินงาน ยังคงหลักการและโครงสร้างการดำเนินการเช่นเดียวกับการดำเนินมาตรการฯ ที่ผ่านมา และเพื่อให้ผู้เข้าร่วมมาตรการฯ จำนวน 4,145,397 ราย มีรายได้ที่มั่นคงและยั่งยืน ให้ได้รับการเติมเงินรายเดือนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาท (ในปี 59) จะได้รับเงินจำนวน 200 บาท/คน/เดือน และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีรายได้สูงกว่า 30,000 บาท (ในปี 59) จะได้รับเงินจำนวน 100 บาท/คน/เดือน ต่อไปอีก 6 เดือน ตั้งแต่เดือนม.ค.-มิ.ย.62
สำหรับงบประมาณที่ต้องใช้ดำเนินการนั้น ได้มีการขอรับงบประมาณเพิ่มเติมจากงบกลาง ปี 62 ในส่วนของการเติมเงินรายเดือนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สำหรับผู้เข้าร่วมมาตรการ 4,145,397 ราย ตั้งแต่เดือน ม.ค.-มิ.ย.62 จำนวน 4,370 ล้านบาท (ราว 728 ล้านบาท/เดือน) โดยจะใช้จ่ายจากเงินกองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานราก
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า นอกจากนี้ที่ประชุม ครม.ยังเห็นชอบให้ทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ส.ค.60 (เรื่อง ประชารัฐสวัสดิการการให้ความช่วยเหลือผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ) โดยเห็นชอบการปรับเปลี่ยนการเติมเงินรายเดือน วงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นฯ (300 หรือ 200 บาท/คน/เดือน) เป็นการแบ่งเติมเงินรายเดือนเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีสิทธิ จำนวน 200 หรือ 100 บาท/คน/เดือน และส่วนที่เหลือ 100 บาท/คน/เดือน ยังคงเติมเงินเข้าวงเงินค่าซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นฯ ในช่วงระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ ก.พ.-เม.ย.62 เพื่อให้ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถถอนเงินสดผ่านตู้ ATM และสาขาของธนาคารกรุงไทย (KTB) ได้
"เป็นการปรับแนวทางการใช้เงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ปลดล็อกให้สามารถเบิกเป็นเงินสดบางส่วนได้ จากเดิมที่ต้องนำไปซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้าเท่านั้น เนื่องจากได้ทำการสำรวจจากผู้ใช้บัตร พบว่ามีความต้องการใช้เงินสดไปจับจ่ายใช้สอยในสินค้าที่อยู่นอกเหนือจากร้านธงฟ้าบ้าง รวมทั้งมีภาระที่ต้องใช้จ่ายเป็นเงินสด ดังนั้นจึงได้ปลดล็อกเงื่อนไขนี้ให้ในช่วง ก.พ.-เม.ย.62 โดยที่ยังต้องเหลือยอดไว้อีก 100 บาทในบัตรสำหรับการใช้ซื้อสินค้าจากร้านธงฟ้า เพื่อเป็นการช่วยอุดหนุนประชาชนในท้องที่ที่เข้าร่วมโครงการ" นายพุทธิพงษ์ ระบุ