นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปี 62 ไว้ที่ 37,000 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 40-50% โดยจะมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 32,000 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียมประมาณ 10% และแนวราบประมาณ 90% ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าคาดว่าจะมีรายได้ราว 5,000 ล้านบาท โดยเชื่อว่ารายได้จากค่าเช่าจะเติบโตประมาณ 35-36% จากปีก่อน
ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) รวมมูลค่าเกือบ 10,000 ล้านบาท คาดว่าจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้ประมาณ 6,000 ล้านบาท ส่วนที่หลือจะทยอยรับรู้ฯ ในปีถัดไป อีกทั้งยังมีสินค้าพร้อมโอน (สต็อก) ในมือมูลค่ารวมกว่า 56,000 ล้านบาท เป็นโครงการคอนโดมิเนียมประมาณ 10,000 ล้านบาท
บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขาย (Presale) ในปีนี้ไว้ที่ 33,000 ล้านบาท โดยจะเปิดขายโครงการใหม่จำนวน 16 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 29,960 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นโครงการแนวราบทั้งหมด แบ่งเป็น โครงการในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล จำนวน 14 โครงการ และโครงการในต่างจังหวัด จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ เชียงใหม่ และพระนครศรีอยุธยา
สำหรับโครงการที่จะเปิดขายในปีนี้ ประกอบด้วย โครงการชัยพฤกษ์ รามอินทรา ทางด่วนจตุโชติ , โครงการ นันทวัน รามอินทรา พหลโยธิน 50 ,โครงการมัณฑนา Westgate ,โครงการ Indy ปิ่นเกล้า สิรินธร คาดว่าจะสามารถเปิดขายได้ในไตรมาส 1/62
ขณะที่โครงการมัณฑนา บางนา กม.7 (2) ,โครงการ Indy อยุธยา คาดว่าจะเปิดขายในไตรมาส 2/62 และ โครงการ Vive เอกมัย รามอินทรา, โครงการ Vive รัตนาธิเบศร์ ราชพฤกษ์, โครงการ Villaggio ประชาอุทิศ 90 ,โครงการ Indy รังสิต คลอง 2 ,โครงการ Vive บางนา, โครงการ Villaggio บางนา เทพารักษ์ คาดว่าจะเปิดขายในไตรมาส 3/62
ส่วนโครงการมัณฑนา Serene Lake เชียงใหม่ ,โครงการ Indy 3 บางใหญ่ ,โครงการ Indy บางนา สวนหลวง และโครงการ Villaggio ศรีนครินทร์ บางนา คาดว่าจะสามารถเปิดได้ในไตรมาส 4/62
"จากแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งหมด จะส่งผลให้บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างและขายในมือเพิ่มเป็น 86 โครงการ มูลค่ารวมมากกว่า 80,000 ล้านบาท"นายนพร กล่าว
นายนพร กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทวางงบลงทุนไว้ราว 10,000 ล้านบาท โดยจะใช้ซื้อที่ดินเพื่อรองรับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขายราว 7,000 ล้านบาท และอีก 3,000 ล้านบาทจะใช้ในการพัฒนาโครงการเทอมินอล พระราม 3 ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างก่อสร้างและคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการได้ในช่วงต้นปี 64 เพื่อเพิ่มสัดส่วนรายได้จากค่าเช่า
นายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการผู้จัดการ LH กล่าวว่า บริษัทมีแผนนำโรงแรมแกรนด์เซ็นเตอร์พอยท์ ทองหล่อ ขายเข้าเป็นสินทรัพย์กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่า อสังหาริมทรัพย์ แอล เอช โฮเทล (LHHOTEL) ในช่วงปลายปีนี้ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างรอการประเมินราคา
อีกทั้งในปีนี้ LH ยังมีแผนออกหุ้นกู้อีก 2 ครั้ง มูลค่ารวม 12,000 ล้านบาท โดยจะเสนอขายในช่วงครึ่งปีแรก จำนวน 7,000 ล้านบาท และครึ่งปีหลังจำนวน 5,000 ล้านบาท เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนดอายุมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยปัจจุบันบริษัทมีวงเงินที่สามารถออกหุ้นกู้เหลือจากการขออนุมัติผู้ถือหุ้นไว้ 60,000 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมขายอพาร์ทเมนท์ LH USA ในสหรัฐอเมริกา 4 โครงการ โดยจะทยอยขายตั้งแต่ปี 63-66 หรือราวปีละ 1 โครงการ เพื่อเป็นไปตามนโยบายการลงทุนของบริษัท ซึ่งหลังจากเข้าลงทุนตามมูลค่าราคาตลาดของสินทรัพย์นั้น ๆ เมื่อราคาปรับตัวสูงขึ้นบริษัทก็จะมีการขายทำกำไรออกมา ซึ่งปกติจะมีระยะเวลาลงทุนราว 4-5 ปี โดยช่วงที่ผ่านมาบริษัทขายอพาร์ทเมนท์ไปแล้ว 1 แห่ง คือ The Domain Residence ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ในราคา 140 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 4,480 ล้านบาท โดยมีกำไรก่อนภาษีประมาณ 41.17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,317 ล้านบาท