นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาในงาน "52 ปี ธ.ก.ส. สานพลังปฏิรูปภาคเกษตรไทย" โดยระบุว่า ไม่เคยมียุคไหนที่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ทำงานหนักเท่ายุคนี้ เพราะในช่วง 2-3 ปีนี้ เกษตรกรประสบความลำบากมาก เนื่องจากราคาพืชผลตกต่ำ แต่ธ.ก.ส.ได้เข้ามาช่วยปฏิรูปภาคเกษตรของไทยให้ไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น ชาวบ้านมีรายได้ที่ดีขึ้น มีสินค้าที่หลากหลายมากขึ้น สามารถลดต้นทุนการผลิต มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่ทั้งนี้ ไม่ใช่แค่จากนโยบายรัฐบาลเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากความร่วมมือร่วมใจกัน
พร้อมเห็นว่า ภารกิจของ ธ.ก.ส.จะต้องอยู่เหนือการเมืองในทุกเรื่อง ไม่ต้องกลัวเรื่องของการเมือง ซึ่งภารกิจสำคัญของ ธ.ก.ส.คือ การเปลี่ยนแปลงภาคเกษตรของไทยให้เป็นภาคเกษตรที่สมบูรณ์ มีพลัง และสร้างรายได้ให้เกษตรกรส่วนใหญ่
"อันนี้เป็นหน้าที่เลย ที่เราสร้างธนาคารเพื่อการเกษตรฯ ขึ้นมา เพื่องานนี้โดยเฉพาะ และจะไม่มีพรรคการเมืองใด ๆ มาเปลี่ยนแปลงนี้ได้ ถ้าพรรคการเมืองมาชี้ว่าให้เลิกทำก็เตรียมตัวไปได้แล้ว เพราะหน้าที่ของ ธ.ก.ส.คือสร้างความเข้มแข็งให้เกษตรกรไทย" รองนายกรัฐมนตรีกล่าว
พร้อมระบุว่า ปัญหาของเกษตรกรไทยนั้น เป็นเรื่องที่ทุกคนทราบกันดีว่าทำไมเกษตรกรไทยถึงยากจน และไม่ใช่เฉพาะคนไทยที่เข้าใจ แต่ต่างประเทศก็เข้าใจ สื่อต่างประเทศเผยแพร่ว่าเกษตรกรไทยยากจน ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเป็นประเทศกสิกรรม แต่มีต้นทุนสูง เทคโนโลยีต่ำ ราคาพืชผลในโลกที่ตกต่ำในช่วงหลายๆ ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ เกษตรกรส่วนใหญ่ยังไม่มีที่ดินทำกิน ปลูกพืชเชิงเดี่ยว ไม่ยินยอมเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต เคยผลิตอะไรก็มักจะผลิตอยู่อย่างนั้น ใช้ปุ๋ยเดิมๆ ไม่ยอมปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ไม่มีข้อมูลการตลาด ถือว่าผลิตแล้วรัฐบาลมีหน้าที่รับซื้อ ราคาตกต่ำก็ให้รัฐบาลผู้รับผิดชอบ และเกษตรกรกลายเป็นเหยื่อของการเมือง
"พรรคการเมืองที่ขึ้นมา ก็จะโจมตีรัฐบาลชุดที่แล้ว ว่าคือต้นเหตุที่ทำให้เกษตรกรยากจน หมุนเวียนแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ประณามรัฐบาลชุดก่อนว่าเป็นต้นเหตุ และจะมาช่วยเหลือ รับรองว่าราคาไม่มีทางต่ำกว่านี้ แค่นี้บาท ใช้สิ่งเหล่านี้จูงใจให้เกษตรกรนิยมชมชอบ หวังว่ารัฐบาลหน้าจะได้มาเป็นอัศวินม้าขาวช่วยเหลือ ทั้ง ๆ ที่ทุกอย่างยังไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ผลิตสินค้าในชนบทขายให้โรงสีขายให้ตัวกลาง ยังไม่ยอมปรับเปลี่ยนการค้าจากหมู่บ้านหนึ่งไปสู่อีกหมู่บ้านอื่นๆ ผ่านอินเทอร์เน็ต ผ่าน e-Commerce ทั้งๆ ที่เทคโนโลยีเหล่านี้เริ่มมาแล้ว" นายสมคิดกล่าว
การที่พรรคการเมืองหรือทุกรัฐบาลที่ผ่านมา จะช่วยเรื่องราคานั้น อยู่ที่ว่าราคาไหนจะสมเหตุสมผลและไม่สร้างความเสียหายให้แก่ระบบเศรษฐกิจทั้งหมด ซึ่งการช่วยเหลือในลักษณะเช่นนี้ต้องควบคู่ไปกับความมุ่งมั่นในการปฏิรูป เปลี่ยนแปลงให้การเกษตรของเราเข้มแข็งขึ้น โดยสิ่งที่ ธ.ก.ส.ทำในขณะนี้มาถูกทางแล้ว เพราะไม่เพียงแต่ช่วยรับภาระหนี้ ยังช่วยเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เปลี่ยนแปลงความนึกคิด ชักจูงโน้มน้าวเกษตรกรไทยให้เกิดความเปลี่ยนแปลง โดยมุ่งไปที่ผู้นำเกษตรกร มุ่งไปที่สหกรณ์การเกษตรที่แข็งแรงเป็นหัวขบวน ทำให้ชาวบ้านได้รู้ ได้เข้าใจ ว่าการอะไรคือความเหมาะสม ลดต้นทุนการผลิต ปลูกพืชหลากหลายขึ้น ไม่ใช่ปลูกพืชเชิงเดี่ยวอีกต่อไป
"ฝาก ธ.ก.ส.อย่าหยุดเด็ดขาด อย่าฟังการเมืองที่ไม่เป็นสับปะรด มาทีไรก็คอยด่ารัฐบาลชุดที่แล้ว...เราจะไม่ด่า แต่เราจะบอกว่าการช่วยเกษตรกรให้มีรายได้คือสิ่งจำเป็น แต่ต้องไม่เลิกการปฏิรูป และไม่เพียงเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงต้องคิดในทางที่ถูกต้อง" รองนายกรัฐมนตรีกล่าว
ขณะเดียวกัน ขอให้กระทรวงพาณิชย์เร่งเดินหน้าโหมโรงเรื่อง e-Commerce ให้ได้ รวมทั้งต้องเร่งการทำตลาดประชารัฐ อย่าละทิ้ง ไม่ว่ารัฐมนตรีจะต้องไปเลือกตั้งหรือไม่เลือกตั้ง
"ข้าราชการประจำคนไหนเกียร์ว่าง ให้ไปขับเกียร์ที่บ้าน เรานั่งฟัง นั่งดูตลอดเวลา ว่าตอนนี้ e-Commerce ของท่าน ไปถึงไหน"นายสมคิดกล่าว
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า อีกสาเหตุที่เกษตรกรยากจนในทุกวันนี้ เพราะการคมนาคมขนส่งยังเข้าไปไม่ถึง ขาดการเชื่อมต่อจากในเมืองไปสู่ชนบท ไม่ว่าจะเป็นการขนส่ง การสื่อสาร ซึ่งหากทุกอย่างมีการเชื่อมต่อกัน ความเจริญก็จะลงไปสู่ชนบท
"ต่อไปข้างหน้า ผมจะดูงบประมาณของกระทรวงคมนาคม ที่กระจุกตัวอยู่ในกรุง มันจะต้องเชื่อมต่อไปชนบท รถไฟต้องเชื่อมไปที่เมืองรอง เมื่อไรคมนาคมไปถึง เมื่อไรอินเทอร์เน็ตไปถึง เมื่อไรการศึกษาไปถึง จะทำให้เกิดความเจริญขี้นมา เมื่อรถไฟวิ่งไปชนบทผ่านเมืองต่างๆ ถนนหนทางเข้าไปเชื่อม การลงทุนจะไปถึง บีโอไอประกาศแล้วว่านโยบายจากนี้ไป จะเน้นการลดความเหลื่อมล้ำ บริษัทเอกชนที่ไปสร้างโรงงาน ไปสร้างอุตสาหกรรมในครัวเรือน ไปรับซื้อผลิตภัณฑ์ของเกษตรกร จะได้รับสิทธิพิเศษไม่แพ้โรงงานใหญ่ๆ ในกรุงเทพฯหรือ EEC" นายสมคิดกล่าว
นอกจากนี้ ในส่วนของการท่องเที่ยวจะไม่ใช่แค่การโปรโมท ชักจูงให้มาเที่ยวเมืองไทย เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทยในแต่ละปีเกือบ 40 ล้านคนแล้ว รายได้ 19% ของ GDP แต่คำถามคือ จะทำอย่างไรไม่ให้การท่องเที่ยวกระจุกตัวอยู่แค่เมืองใหญ่ ต้องกระจายไปเมืองรอง ชนบทมากขึ้น
พร้อมมองว่า สหกรณ์การเกษตรคือหัวใจพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ทำวิสาหกิจชุมชนให้เกิดขึ้นมา นำเงิน ธ.ก.ส.ไปสร้างสินค้าชุมชนขายให้นักท่องเที่ยว นำตลาดประชารัฐไปอยู่ ซึ่งเมื่อทุกอย่างเชื่อมโยงกัน เม็ดเงินก็จะไม่กระจุกตัว แต่จะไหลไปสู่ชนบท การเกษตรก็จะไม่ใช่แค่ผลิตเพื่อส่งออกไปตลาดโลกเท่านั้น แต่เป็นการเกษตรที่ผลิตและขายให้ทั้งในประเทศและประเทศข้างเคียงด้วย
"GDP ภาคการเกษตรแค่ 8% เพราะมูลค่าต่ำ ขายได้แค่การส่งออก ผลิตพืชเชิงเดี่ยว ขาดการแปรรูป ขาดการตลาด ขาดข้อมูลข่าวสาร ทั้งๆ ที่เทวดาดลบันดาลให้เราอุดมสมบูรณ์ แต่เรากลับไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งสมบูรณ์เหล่านี้ให้เกิดความมั่งคั่งได้...พูดแล้วมันน่าเจ็บกระดองใจ ฉะนั้นเราจะไม่พูดประณามใคร ไม่ด่าว่าใคร แต่ให้พวกเราถือว่าเป็นหน้าที่ ทำสิ่งเหล่านี้ให้ได้ เดินหน้ากัดฟันการปฏิรูปการเกษตรให้ได้ ทำร้อยวันก็ได้ร้อยวัน" นายสมคิดกล่าว
ส่วนการดูแลค่าครองชีพประชาชนนั้น รัฐบาลดำเนินการอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นจะมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไปทำไม
"ใครจะหาว่าแจกเงิน ก็จะแจก เพื่อให้คนอยู่รอดได้ แต่ไม่ใช่แจกเปล่าๆ เราจะฝึกอบรมเข้าไปช่วยให้มีความคิดอ่าน สหกรณ์การเกษตรสำคัญมาก ต้องอย่านิ่งดูดาย อย่าเสียกำลังใจ สหกรณ์ที่ไม่ทำงาน โยนทิ้ง เอาสหกรณ์ที่เข้มแข็งเป็นหัวขบวน เป็น SmartFarmer ช่วยกันให้เกษตรกรไทยลืมตาอ้าปากได้ ไม่ต้องกลัวใครว่าเป็นนโยบายการเมือง ถ้าเราทำความดี ทำตามหน้าที่ เทวดาก็คุ้มครอง" รองนายกรัฐมนตรีกล่าว