นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง กล่าวว่า ได้ร่วมมือกับสมาคมธนาคารไทย และสภาสถาบันการเงินของรัฐ เพื่อให้ผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพจากรัฐบาลและมีฐานะดี มาบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเข้ากองทุนผู้สูงอายุผ่านสาขาของธนาคารทั้งหมดทั่วประเทศ แต่จากการดำเนินที่ผานมา พบว่ามีผู้มาสละสิทธิ์เพียง 800 คนเท่านั้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นปัญหาเรื่องการประชาสัมพันธ์ และช่องทางในการสละสิทธิ์ที่ยังมีจำกัด เพราะต้องไปที่เขตหรืออำเภอเท่านั้น
ดังนั้นการเพิ่มช่องทางนี้ก็เชื่อว่าจะสามารถแก้ปัญหาได้ โดยธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินของรัฐ จะช่วยทำการประชาสัมพันธ์ผ่านทุกสาขาทั่วประเทศ รวมถึงช่องทางออนไลน์ทั้งหมดด้วย โดยตั้งเป้าหมายว่าจะมีผู้มาสละสิทธิ์ 1-2 ล้านราย และจะทำให้สามารถจ่ายเบี้ยยังชีพเพิ่มให้กับผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจนได้เพิ่มขึ้นเป็น 1,000 บาท จากเดิม 600 บาทต่อเดือน ซึ่งจะช่วยทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนกลุ่มนี้ดีขึ้น
ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้สูงอายุประมาณ 11 ล้านคน เป็นผู้ที่รับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุประมาณ 9 ล้านคน และเป็นผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 4.6 ล้านคน จะเห็นว่ามีผู้ที่มีศักยภาพที่จะเสียสละบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุของตนให้แก่ผู้ที่เดือดร้อน จำนวนกว่า 4 ล้านคน โดยกระทรวงการคลังได้รับความร่วมมือจากสมาคมธนาคารไทย และสภาสถาบันการเงินของรัฐ ให้ธนาคารเป็นช่องทางในการรับแจ้งบริจาค เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ที่ประสงค์จะบริจาค รวมทั้งช่วยประชาสัมพันธ์ให้การบริจาคเบี้ยยังชีพเป็นที่รู้จักในวงกว้างและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น
"ปัจจุบันกองทุนผู้สูงอายุ ได้รับเงินจากภาษีบาป 2% คิดเป็นวงเงิน 4,000 ล้านบาท ก็ได้นำเงินส่วนนี้นำไปจ่ายเพิ่มให้กับผู้สูงอายุที่ลงทะเบียนได้คนละ 50-100 บาท แต่ยังไม่เพียงพอ โดยคาดว่าถ้ามีผู้สูงอายุสละสิทธิ์ถึง 1-2 ล้านคน ก็จะทำให้มีเงินจ่ายให้ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยได้ถึง 1,000 บาทจากเดิม เป็นไปตามที่รัฐบาลคาดหวังไว้" รมว.คลังกล่าว
นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ในฐานะประธานกรรมการสภาสถาบันการเงินของรัฐ เปิดเผยว่า ธนาคารของรัฐทั้ง 9 แห่ง จะช่วยประชาสัมพันธ์เรื่องการสละเบี้ยยังชีพให้แก่ลูกค้าทั้งหมด 46.5 ล้านบัญชี ซึ่งสภาสถาบันการเงินของรัฐ ยินดีให้ความร่วมมือในการเป็นหน่วยรับแจ้งบริจาคเบี้ยยังชีพ และประชาสัมพันธ์โครงการผ่านช่องทางต่างๆ ของสถาบันการเงินของรัฐ
ด้านนายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งพร้อมให้ความร่วมมือในโครงการนี้ โดยปัจจุบันธนาคารพาณิชย์มีสาขาทั้งหมดประมาณ 6,700 แห่ง จะมีการติดโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ และประชาสัมพันธ์ผ่านตู้เอทีเอ็มอีก 7 หมื่นตู้ และจะใช้ช่องทางออนไลน์ทั้งหมดร่วมด้วย เช่น เฟซบุ๊ก เว็บไซต์ธนาคาร เพื่อสร้างการรับรู้ให้เกิดการเข้าใจ
โดยในเบื้องต้น ได้กำหนดเป้าหมายให้มียอดการบริจาคเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม 2562 หรือในช่วงระยะเวลา 2 เดือนนับจากนี้
"ที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์ได้ช่วยเหลือรัฐบาลในการแจกสวัสดิการให้กับผู้สูงอายุที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป โดยการเปิดบัญชีโดยไม่เก็บค่าธรรมเนียมและค่ารักษาบัญชี เพื่อให้เป็นจุดเริ่มต้นการออมของผู้สูงอายุ" นายปรีดี กล่าว