นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงแนวโน้มการส่งออกอาหารไทยปี 2562 โดยคาดว่าจะมีมูลค่า 1,120,000 ล้านบาท ขยายตัว 8.5% จากปี 2561 โดยกลุ่มสินค้าที่คาดว่าจะส่งออกเพิ่มขึ้น มี 8 กลุ่ม ได้แก่ ไก่, ปลาทูน่าปรุงแต่ง, กุ้ง, มันสำปะหลัง, เครื่องปรุงรส, มะพร้าว, สับปะรด และอาหารพร้อมรับประทาน ส่วนกลุ่มสินค้าที่คาดว่าจะส่งออกลดลง ได้แก่ ข้าวและน้ำตาลทราย โดยสินค้าที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ข้าว, ไก่, น้ำตาลทราย, ปลาทูน่าปรุงแต่ง และกุ้ง
สำหรับปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมอาหารไทยในปี 2562 ประกอบด้วย 1. การปลดล็อคใบเหลืองประมงไทยของสหภาพยุโรป ที่ทำให้ประเทศคู่ค้าเกิดความเชื่อมั่นในสินค้าประมงไทยมากขึ้น 2. สินค้าอาหารของไทยเป็นที่ต้องการของตลาดอาเซียน โดยเฉพาะ CLMV ที่สินค้าไทยครองตลาดไม่ต่ำกว่า 50 - 60% รวมทั้งตลาดอาเซียนเดิมที่เป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าจำพวกข้าว น้ำตาล มันสำปะหลัง อาหารแปรรูป รวมทั้งอาหารฮาลาล 3. ราคาพลังงานอยู่ในระดับต่ำและมีเสถียรภาพ 4. การเมืองไทยมีความชัดเจน สร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจ โดยมีการกำหนดวันเลือกตั้งที่ชัดเจน
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบ 1. ความผันผวนการเมืองระหว่างประเทศ และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า ส่งกระทบทางอ้อมต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ทำให้กำลังซื้อ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อการจับจ่ายใช้สอยลดลงตามไปด้วย 2. แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ส่งผลต่อต้นทุนการประกอบธุรกิจ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในประเทศมีแนวโน้มปรับตัวตามทิศทางดอกเบี้ย Fed Fund rate ของสหรัฐฯ 3. การแข็งค่าของเงินบาท กระทบต่อสินค้าเกษตรและอาหารแปรรูป โดยเฉพาะสินค้าที่เน้นตลาดต่างประเทศจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันด้านราคา รวมถึงรายได้ที่แปลงกลับมาเป็นเงินบาทจะลดลง ทำให้ราคาสินค้าวัตถุดิบการเกษตรลดลงตามไปด้วย
4. รายได้ผู้บริโภคลดลงตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) โดยเฉพาะสินค้าเกษตรที่ยังอยู่ในระดับต่ำตามภาวะเศรษฐกิจ และ 5. สหรัฐฯตัดสิทธิ GSP สินค้าไทย 11 รายการ สาเหตุส่วนใหญ่มาจากการที่สินค้าไทยในกลุ่มดังกล่าว มีส่วนแบ่งตลาดเกิน 50% ในตลาดสหรัฐฯ โดย 6 ใน 11 รายการ อยู่ในกลุ่มสินค้าอาหาร ประกอบด้วย ทุเรียนสด มะละกอตากแห้ง มะละกอแปรรูป มะขามตากแห้ง ข้าวโพดปรุงแต่ง และผลไม้/ถั่วแช่อิ่ม
ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร ยังได้สรุปภาพรวมการส่งออกสินค้าอาหารของไทยในปี 2561 ว่า จากข้อมูลโดยศูนย์อัจฉริยะเพื่ออุตสาหกรรมอาหาร (Food Intelligence Center) พบว่าการส่งออกอาหารของไทยปี 2561 มีมูลค่า 1,031,956 ล้านบาท ขยายตัว 1.6% หรือคิดเป็นมูลค่า 32,190 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 7.3% ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 385,499 ล้านบาท ขยายตัว 1.2% หรือคิดเป็นมูลค่า 11,937 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 6.2%
โดยสินค้าส่งออกอันดับ 1 ยังคงเป็นข้าว มีสัดส่วนส่งออก 17.5% มูลค่าส่งออก 180,116 ล้านบาท รองลงมา ได้แก่ ไก่ มูลค่าส่งออก 110,116 ล้านบาท อันดับที่ 3 น้ำตาลทราย อันดับที่ 4 ปลาทูน่าปรุงแต่ง และอันดับที่ 5 กุ้ง สำหรับกลุ่มสินค้าหลักที่มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2560 มีจำนวน 7 สินค้า ได้แก้ ข้าว (+8.0%) ไก่ (+13.4%) ปลาทูน่าปรุงแต่ง (+9.5%) แป้งมันสำปะหลัง (+33.1%) เครื่องปรุงรส (+12.5%) มะพร้าว (+19.7%) และอาหารพร้อมรับประทาน (+10.6) ขณะที่สินค้าที่มีมูลค่าส่งออกลดลง จำนวน 3 สินค้า ได้แก่ น้ำตาลทราย (-3.0%) กุ้ง (-12.7%) และสับปะรด (-27.8%)
โดยญี่ปุ่นเป็นตลาดส่งออกอาหารของไทยอันดับที่ 1 รองลงมา ได้แก่ จีน, เวียดนาม, อินโดนีเซีย, เมียนมาร์, กัมพูชา, มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าตลาดอาหารสำคัญของไทย 6 ใน 8 ประเทศตั้งอยู่ในภูมิภาคอาเซียน แต่หากพิจารณาในกลุ่มภูมิภาค จะพบว่า อาเซียน เป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย มีมูลค่าส่งออก 293,172 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 28.4 ของมูลค่าส่งออกอาหารทั้งหมด รองลงมา ได้แก่ กลุ่มประเทศอเมริกาเหนือ อันดับ 3 แอฟริกา อันดับ 4 สหภาพยุโรป และอันดับ 5 โอเชียเนีย ทั้งนี้ หากคิดเฉพาะกลุ่มประเทศมุสลิม (OIC Country 57 ประเทศ) พบว่า มีมูลค่าส่งออก 180,777 ล้านบาท สัดส่วน 17.6%
"ประเทศไทย เป็นผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 12 ของโลก ปรับตัวดีขึ้น 2 อันดับ จากอันดับที่ 14 ของโลกในปี 2560 โดยพิจารณาจากมูลค่าส่งออกอาหารในรูปดอลลาร์พบว่า ไทยมีส่วนแบ่งตลาดโลกเพิ่มขึ้นเป็น 2.36% จาก 2.34% ในปีก่อนหน้า ขณะที่ประเทศผู้ส่งออกรายใหญ่ เช่น สหรัฐฯ บราซิล และจีน ต่างมีส่วนแบ่งตลาดโลกลดลง ส่วนประเทศผู้ส่งออกอาหารที่สำคัญในภูมิภาคอย่างอินเดียและเวียดนาม ต่างก็มีส่วนแบ่งตลาดโลกลดลงเช่นกัน โดยอินเดียเป็นประเทศผู้ส่งออกอาหารอันดับที่ 13 ของโลก ตกลงมา 2 อันดับ ขณะที่เวียดนามเป็นผู้ส่งออกอันดับที่ 17 ของโลกดีขึ้น 1 อันดับ" นายยงวุฒิกล่าว