ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ในเดือน ม.ค.62 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค อยู่ที่ 80.7 จาก 79.4 ในเดือน ธ.ค.61 โดยดัชนีปรับตัวดีขึ้นในรอบ 5 เดือน เป็นผลจากความชัดเจนในการจัดการเลือก 24 มีนาคม 2562
ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวม อยู่ที่ 67.7 จาก 66.3 ในเดือนก่อนหน้า ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำอยู่ที่ 75.8 จาก 74.6 ในเดือนก่อนหน้า และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ 98.7 จาก 97.3 ในเดือนก่อนหน้า
สำหรับปัจจัยที่มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ได้แก่ 1.การประกาศพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ.2562 และที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติให้มีการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เป็นการทั่วไปในวันที่ 24 มี.ค.62
2. สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 61 คาดว่าจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องที่ 4.1% เร่งขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ขยายตัว 3.9% โดยได้รับแรงขับเคลื่อนหลักมาจากาการใช้จ่ายภาคเอกชนทั้งด้านการบริโภคและการลงทุนที่มีแนวโน้มขยายตัวเร่งขึ้น
3. สศค.คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 62 มีแนวโน้มขยายตัว 4.0% โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 3.5-4.5% โดยได้รับแรงส่งจากโครงการลงทุนของภาครัฐที่จะมีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจเป็นสำคัญ ตามกรอบงบประมาณรายจ่ายลงทุนภาครัฐประจำปีงบประมาณ 62 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและโครงการลงทุน PPP ในโครงสร้างพื้นฐาน รวมทั้งผลจากความชัดเจนเกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้ง
4. ปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนเริ่มคลี่คลายลงหลังจากที่สหรัฐฯ และจีนได้มีการเจรจาการค้ากัน 2 ครั้ง หลังจากได้ยุติสงครามการค้าเป็นการชั่วคราว 90 วัน
5. นักท่องเที่ยวจีนเริ่มกลับเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้นหลังจากประเทศไทยยกเว้นค่าธรรมเนียม VISA on Arrival
6. พืชผลทางการเกษตรบางรายการเริ่มปรับตัวดีขึ้นโดยเฉพาะข้าว ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และสินค้าปศุสัตว์ทำให้เกษตรกรบางกลุ่มเริ่มมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้การจับจ่ายใช้สอยในหลายจังหวัดที่ราคาสินค้าเกษตรเริ่มปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม เกษตรกรส่วนใหญ่ยังเห็นว่าราคาสินค้าเกษตรยังอยู่ในระดับต่ำ
7. SET Index ในเดือน ม.ค.62 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 77.85 จุด โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 1,563.88 จุด ณ สิ้นเดือน ธ.ค.61 เป็น 1,641.73 จุด
8. เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย โดยอัตราแลกเปลี่ยนอ้างอิงค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยจากระดับ 32.701 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นเดือน ธ.ค.61 เป็น 31.814 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นเดือน ม.ค.62 สะท้อนว่ามีเงินทุนจากต่างประเทศสุทธิไหลเข้ามายังประเทศไทย
สำหรับปัจจัยลบ ได้แก่ 1. การส่งออกของไทยในเดือน ธ.ค.61 มีมูลค่า 19,381.35 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลง 1.72% ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 18,316.44 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 8.15% ส่งผลให้ดุลการค้าเกินดุล 1,064.91 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ในช่วงตลอดทั้งปี 61 ส่งออกรวม 252,486.41 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 6.70% และมีการนำเข้ารวม 249,231.93 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 12.51% ส่งผลให้เกินดุลการค้ารวม 3,254.48 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
2. ระดับราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยราคาน้ำมันขายปลีกแก๊สโซฮอล์ ออกเทน 91 (E10) และแก๊สโซฮอล์ 95 (E10) ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 0.60 บาทต่อลิตร จากระดับ 25.48 และ 25.75 บาทต่อลิตร ณ สิ้นเดือน ธ.ค.61 ตามลำดับ มาอยู่ที่ระดับ 26.08 และ 26.35 บาทต่อลิตร ณ สิ้นเดือน ม.ค.62 ตามลำดับ สำหรับราคาน้ำมันดีเซลในประเทศ มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกันประมาณ 0.90 บาทต่อลิตร จากระดับ 24.79 บาทต่อลิตร มาอยู่ที่ระดับ 25.69 บาทต่อลิตร
3. ความกังวลต่อสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในเขตพื้นที่ กทม.และปริมณฑลที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของประชาชน
4. ราคาพืชผลทางการเกษตรส่วนใหญ่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะยางพารา มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน ส่งผลให้รายได้เกษตรส่วนใหญ่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ทำให้กำลังซื้อทั่วไปในต่างจังหวัดขยายตัวไม่มากนัก
5. ความกังวลเกี่ยวกับปัญหาสงครามการค้าในระดับโลกโดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อการส่งออกและเศรษฐกิจไทยในอนาคต แม้ว่าสหรัฐฯ กับจีนจะอยู่ในช่วงเจรจายุติปัญหาสงครามการค้า
6. ผู้บริโภคมีความรู้สึกว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวช้าและยังกระจุกตัว และผู้บริโภคยังมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาค่าครองชีพและราคาสินค้าที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง รวมถึงผู้บริโภคยังรู้สึกว่ารายได้ในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น