นางปานทิพย์ ศรีพิมล ที่ปรึกษาด้านพัฒนารัฐวิสาหกิจ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ได้ประชุมร่วมกับ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม, นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง รวมทั้งผู้บริหารรัฐวิสาหกิจที่มีวงเงินลงทุนขนาดใหญ่ 18 แห่ง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อติดตามการเบิกจ่ายงบลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายในปี 2562 เพื่อให้การลงทุนของรัฐวิสาหกิจยังคงเป็นกลไกหลักในการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2562
ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายให้รัฐวิสาหกิจร่วมมือในการลงทุนให้ได้ตามแผนงาน และเร่งให้มีการเบิกจ่ายโครงการที่มีอยู่ ให้มาลงทุนในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปีนี้ให้มากขึ้น โดยให้รัฐวิสาหกิจ และกระทรวงเจ้าสังกัดพิจารณาให้การปรับปรุงกรอบการลงทุนในปี 2562 เฉพาะเท่าที่จำเป็นเท่านั้น พร้อมให้คณะกรรมการรัฐวิสาหกิจกำหนดให้มีการพิจารณาการเบิกจ่ายงบลงทุนในการประชุมคณะกรรมการทุกครั้ง และกำหนดตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายของการเบิกจ่ายงบลงทุนในการประเมินผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ โดยให้กำหนดน้ำหนักที่สูงสำหรับรัฐวิสาหกิจที่มีการลงทุนสูง
"เชื่อว่าการเบิกจ่ายงบลงทุนรัฐวิสาหกิจ อาจล่าช้าในช่วงไตรมาสแรก ซึ่งปกติงบลงทุนมักจะเบิกจ่ายได้มากขึ้นในช่วงไตรมาส 2 และ 3" นางปานทิพย์กล่าว
ด้านนายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อำนวยการ สคร. ในฐานะโฆษก สคร. สรุปผลการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจว่า กรอบลงทุนทั้งปีของรัฐวิสาหกิจ 45 แห่ง ที่ สคร.กำกับดูแล มีมูลค่าสูงถึง 395,664 ล้านบาท โดยเป็นของรัฐวิสาหกิจที่มีวงเงินลงทุนขนาดใหญ่ 18 แห่ง จำนวน 386,191 ล้านบาท หรือคิดเป็น 98% ของกรอบลงทุนทั้งหมด
ทั้งนี้ รัฐวิสาหกิจ 18 แห่งดังกล่าว มีผลการเบิกจ่ายงบลงทุนสะสมปี 2562 ตั้งแต่เดือนต.ค.61 - ม.ค.62 จำนวน 34,819 ล้านบาท หรือคิดเป็น 58% ของแผนการเบิกจ่ายสะสม ซึ่งถือว่าการเบิกจ่ายค่อนข้างล่าช้า โดยเฉพาะการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และ บมจ.ท่าอากาศยานไทย (AOT) หรือ ทอท.
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในช่วงที่เหลือก่อนจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งจะใช้เวลาถึงเดือน พ.ค.-มิ.ย.นี้ โดยจะขอความร่วมมือให้รัฐวิสาหกิจเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุน เพื่อช่วยพยุงภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง และผลจากสงครามการค้าที่กระทบการส่งออก
พร้อมคาดว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะขยายตัวได้ประมาณ 4% กว่าๆ ซึ่งในเรื่องการลงทุนของรัฐวิสาหกิจถือเป็นเรื่องสำคัญที่มีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ จึงจำเป็นต้องมีการติดตามงานอย่างใกล้ชิด คงไม่สามารถมาขอลดเป้าหมายในการดำเนินงานได้ เพราะการลดเป้าหมายก็เท่ากับเป็นการลดผลงานของ CEO ด้วย
ในส่วนความคืบหน้าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินนั้น รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คณะทำงานทราบดีอยู่แล้วว่าจะต้องขับเคลื่อนโครงการอย่างไร เชื่อว่าทุกอย่างจะจบได้ ไม่น่าจะบานปลาย รัฐบาลคงไม่เข้าไปก้าวก่ายการทำงานของคณะทำงานในส่วนนี้
"ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ ต้องไม่เกียร์ว่าง เพราะรัฐบาลนี้ยังทำงานถึงเดือน มิ.ย.62 ใครเกียร์ว่าง จะไปใส่เกียร์ให้ 11 ก.พ.นี้จะเดินทางไปกระทรวงคมนาคม เพื่อไปเร่งรัดงบลงทุนต่อ เราต้องประคองให้ผ่านครึ่งปีนี้ให้ได้ เพราะเชื่อว่าครึ่งปีหลังน่าจะดีขึ้น" นายสมคิดกล่าว
ส่วนกรณีสถานการณ์เงินบาทแข็งค่านั้น เป็นหน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ดูแลอยู่ กระทรวงการคลังคงไม่เข้าไปก้าวก่ายเรื่องนี้ และปล่อยให้ ธปท. ดูแลอย่างเต็มที่ เพราะมีข้อมูลและรู้ในรายละเอียดว่าจะส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง