ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็กเกินค่ามาตรฐานในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ที่มีระดับความเข้ม ข้นของค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐานในระดับที่มีผลต่อสุขภาพ (ค่า AQI สูงกว่า 50 ไมโครกรัม/ลูกบาศก์เมตร) เป็นระยะเวลาหลายๆ วัน ติดต่อกัน ซึ่งผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทันทีหลังจากเกิดปัญหาดังกล่าว ได้แก่ ค่าเสียโอกาสจากประเด็นเรื่องสุขภาพ ซึ่งสถานการณ์ ฝุ่นละอองไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้ป่วยโรคภูมิแพ้/ระบบทางเดินหายใจแล้ว ที่ผ่านมาประชาชนที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ก็เกิดอาการ เจ็บป่วยจากปัญหาฝุ่นละอองด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ การใช้จ่ายในการซื้อหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันฝุ่นละอองก็มีจำนวนเพิ่มขึ้น ตามระยะ เวลาของปัญหาที่ยาวนานขึ้น
ขณะที่ ค่าเสียโอกาสด้านการท่องเที่ยว โดยนอกจากคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติที่มีการปรับแผน หลีกเลี่ยงการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในพื้นที่กรุงเทพฯ และปรับกิจกรรมการท่องเที่ยวในพื้นที่กรุงเทพฯ แล้ว จากสถานการณ์ฝุ่นละอองที่ ยาวนานยังส่งผลกระทบเพิ่มเติมในกลุ่มคนกรุงเทพฯ บางกลุ่ม ที่มีการชะลอแผนการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศด้วย
นอกจากนี้ การใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการปรับพฤติกรรมของคนกรุงเทพฯ เพื่อหลีกเลี่ยงหรือป้องกันการเผชิญฝุ่นละออง เช่น ค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องฟอกอากาศ การปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารนอกบ้าน ซึ่งกลุ่มที่จะได้รับผลกระทบ คือ ร้านอาหาร ข้างทาง สวนอาหาร หรือร้านอาหารที่อยู่ในที่โล่งแจ้ง ซึ่งเกิดจากการที่ประชาชาชนหลีกเลี่ยงการเผชิญกับปัญหาฝุ่นละออง
ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ทำการปรับประมาณการผลทางเศรษฐกิจจากปัญหาฝุ่นละอองในกรุงเทพฯและปริมณฑล จากค่า เสียโอกาสโดยเฉพาะในประเด็นสุขภาพและด้านการท่องเที่ยว รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านอื่นๆ ที่สำคัญ คิดเป็นเม็ดเงินอย่างน้อย 14,500 ล้าน บาท เพิ่มขึ้นจากเดิม โดยมีสาเหตุหลักมาจากกรอบเวลาที่นานขึ้น และการเพิ่มเติมค่าเสียโอกาสบางรายการ โดยกรอบเวลาที่ใช้ในการ คำนวณคือ จากเดิมที่ประเมินไว้ราวๆ 1 เดือน ปรับเป็นตั้งแต่ช่วงปลายปี 2561 - สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2562 (หรือประมาณ 65 วัน)
หน่วย: ล้านบาท ประมาณการเดิม ประมาณการใหม่ (15 ม.ค. 62) (12 ก.พ. 62) กรอบเวลา 30 วัน 65 วัน (เริ่มปลายปี’ 61-ปลายเดือนมกราคม 62) (เริ่มปลายปี’ 61- ปลายเดือนกุมภาพันธ์ 62)
-การรักษา 1,200 1,800 (ผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้/ระบบทางเดินหายใจ) -การรักษา N/A 1,000 (ผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคภูมิแพ้/ระบบทางเดินหายใจ) -การป้องกัน (หน้ากากอนามัย) 1,900 5,300 2.ค่าเสียโอกาสด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่กรุงเทพ 3,500 5,750 ฯ และคนกรุงเทพฯ ชะลอการเดินทางท่องเที่ยว* 3. ค่าเสียโอกาสด้านอื่นๆ เช่น ร้านอาหาร N/A 650 เครื่องฟอกอากาศ** รวมเม็ดเงินผลกระทบด้านเศรษฐกิจ (1. + 2. + 3.) 6,600 14,500 ที่มา: ประมาณการโดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย หมายเหตุ: N/A – ไม่ได้ทำการประเมินผลกระทบในรอบแรก
- ผลกระทบจากที่คนกรุงเทพฯ ชะลอหรืองดการเดินทางท่องเที่ยว
** ค่าเสียโอกาสในส่วนอื่นๆ เช่น ร้านอาหาร คำนวณเฉพาะในช่วงที่มีค่าฝุ่นละอองเกินมาตรฐานอยู่ระดับสูง ส่งผลต่อ บรรยากาศการซื้ออาหารหรือรับประทานอาหารในที่โล่งแจ้ง
"ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กเกินค่ามาตรฐานที่ยังคงมีต่อเนื่องและคาดว่าอาจมีโอกาสล่วงเลยไปถึงเดือนมีนาคม 2562 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้ทบทวนประมาณการผลกระทบทางเศรษฐกิจในมิติของค่าเสียโอกาสจากประเด็นด้านสุขภาพและการท่องเที่ยว รวมถึง การประเมินผลกระทบครอบคลุมในประเด็นอื่นๆ เพิ่มเติมในส่วนที่เกิดจากค่าเสียโอกาสของภาคธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบจากการที่ ประชาชนมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดผลกระทบ ผ่านการจัดทำผลสำรวจพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของคนกรุงเทพฯและปริมณฑล" ศูนย์ วิจัยกสิกรไทย ระบุ อย่างไรก็ดี ในระยะข้างหน้า ยังมีอีกหลายประเด็นที่อาจจะส่งผลต่อค่าใช้จ่ายและการปรับพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งขึ้นอยู่กับ นโยบายของภาครัฐด้วย โดยเฉพาะมาตรการที่เน้นการดูแลการปล่อยไอเสียจากรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลเป็นหนึ่งในปัญหาที่สำคัญที่สุดของ การก่อให้เกิดมลพิษฝุ่นละออง PM2.5 ได้แก่ การยกระดับมาตรฐานรถยนต์ Euro 5 การใช้น้ำมันไบโอดีเซล B20 อย่างกว้างขวางขึ้น หรือแม้แต่การสนับสนุนการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า แม้แนวทางดังกล่าวเป็นทางแก้ปัญหาในระยะยาว จากการช่วยลดปริมาณการปล่อยมลพิษ และฝุ่นละออง PM 2.5 ได้ แต่ผู้บริโภคอาจจะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นในการใช้รถยนต์ในอนาคต