นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่าในช่วงนี้ว่า มาจากปัจจัยภายนอก อย่างไรก็ตาม ธปท.ยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และยอมรับว่าเงินบาทในบางช่วงแข็งค่าเร็วเกินไป แต่ยังไม่พบความผิดปกติ หรือการเก็งกำไรแต่อย่างใด
ทั้งนี้ หลังจากการเลือกตั้งกลางเทอมในสหรัฐ มุมมองของนักลงทุนเกี่ยวกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐเปลี่ยนไป จากหลายปัจจัยทั้งจากเหตุการณ์ government shutdown ที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ การที่นักลงทุนเทขายหุ้นจากมุมมองความเสี่ยงที่เปลี่ยนไป และการที่ธนาคารกลางของสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยช้ากว่าเดิม ในขณะที่ปัญหาความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนยังไม่คืบหน้า ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯปรับลดลง
การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ทำให้สกุลเงินของประเทศเกิดใหม่แข็งค่าขึ้น ส่วนผลกระทบจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสถานะของแต่ละประเทศ ทั้งดุลบัญชีเดินสะพัดและเงินที่เข้ามาลงทุนในระยะยาว (FDI) สำหรับประเทศไทย ตั้งแต่ต้นปี 2562 เงินบาทแข็งค่าขึ้น 3.93% อยู่ในระดับกลางๆ เมื่อเทียบกับสกุลเงินประเทศเกิดใหม่และประเทศในภูมิภาค ซึ่งเป็นผลจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่ยังสูง แม้ว่าการส่งออกจะชะลอลงบ้างจากภาวะการค้าโลกที่ตึงเครียด แต่การนำเข้าชะลอลงด้วย
ในขณะที่รายได้จากการท่องเที่ยวที่ลดลงในช่วงไตรมาส 3 ปรับดีขึ้นมากในช่วงปลายปี 2561 ต่อเนื่องมาถึงต้นปี 2562 ซึ่งเป็น high season นอกจากนี้ มีเงินลงทุนจากต่างชาติที่เข้ามาลงทุนระยะยาว (FDI) มากขึ้นด้วย ทั้งนี้ในปี 2561 ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 3.7 หมื่นล้านเหรียญดอลลาร์ แบ่งเป็นการเกินดุลการค้า 2.3 หมื่นล้านล้านดอลลาร์ และเป็นการเกินดุลบริการ 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์
ผู้ว่าธปท. กล่าวว่า อาจจะมีความเข้าใจที่คาดเคลื่อนว่าการปรับดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อปลายปี 61 ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้น เพราะมีเงินไหลเข้ามาในตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้น แต่ข้อเท็จจริงของสถานการณ์ในปีนี้ ซึ่งต่างจากปีก่อน ๆ คือ ตั้งแต่ต้นปี 2562 มีเงินไหลออกจากตลาดพันธบัตรไทย 407 ล้านดอลลาร์ ขณะที่มีเงินไหลเข้าตลาดหุ้น 123 ล้านดอลลาร์ ทำให้ภาพรวมมีเงินทุนไหลออกสุทธิ 284 ล้านดอลลาร์ และอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ระดับ 1.75% ยังต่ำกว่าของสหรัฐซึ่งอยู่ที่ระดับ 2.25-2.5% และต่ำกว่าประเทศในภูมิภาค เช่น เวียดนาม อยู่ที่ 6.25% อินโดนีเซีย ที่ 6.75% ฟิลิปปินส์ ที่ 4.75% และมาเลเซีย ที่ 3.25%
"ที่ผ่านมา ธปท. ติดตามสถานการณ์ค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด โดยในระยะสั้น ถ้าเห็นการเก็งกำไรที่ผิดปกติ หรือการเคลื่อนไหวผันผวนรุนแรงไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ ก็จะเข้าไปดูแลเหมือนกับที่ผ่านมา เรื่องค่าเงิน เป็นประเด็นอ่อนไหว เป็นเหมือนเหรียญสองด้าน ที่เวลาเงินบาทแข็งหรืออ่อน จะมีทั้งคนได้คนเสีย รวมทั้งเป็นประเด็นที่ถูกจับตา เราต้องระวังไม่ให้ไทยถูกจัดเป็นประเทศที่บิดเบือนค่าเงิน ซึ่งอาจจะถูกมาตรการกีดกันทางการค้า สถานการณ์จะยิ่งแย่ลง" นายวิรไทกล่าว
พร้อมระบุว่า โจทย์สำคัญไม่ใช่ว่าค่าเงินบาทควรอยู่ที่ระดับเท่าใด เพราะเรากำหนดไม่ได้ แต่ควรเป็นว่าระบบเศรษฐกิจของประเทศจะสามารถรองรับความผันผวนจากการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินได้อย่างไร ทั้งนี้ ถ้าพิจารณาตัวเลขความผันผวนของค่าเงินบาทถือว่าอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับสกุลเงินของประเทศเกิดใหม่
ในด้านเศรษฐกิจมหภาค สาเหตุของการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดส่วนหนึ่ง เพราะการลงทุนของไทยที่ผ่านมาอยู่ในระดับต่ำ ไทยจำเป็นต้องเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ โดยช่วงที่เงินบาทที่แข็งค่าถือเป็นโอกาสดีที่จะลงทุน นำเข้าเครื่องจักรเพื่อยกระดับศักยภาพการผลิต
"สำหรับภาคธุรกิจ มีโจทย์หลายเรื่องที่ต้องร่วมกันคิด อัตราแลกเปลี่ยนเป็นส่วนหนึ่งของราคา ซึ่งปัจจุบัน เรายังเน้นแต่การแข่งขันด้านราคาอยู่ค่อนข้างมาก การแข่งแต่ราคาอย่างเดียวอาจไม่ยั่งยืน จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพสินค้า และทำให้สินค้ามีจุดขาย มีความต่าง ของดีแม้ราคาจะแพงหน่อย คนก็ยังซื้อ เช่น โรงแรมดีๆ แม้ราคาจะสูงหน่อยแต่คนก็ยังพร้อมที่จะจ่าย" นายวิรไทกล่าว
ผู้ว่าธปท. ระบุว่า เมื่อมองไปข้างหน้า ความผันผวนยังจะอยู่ การบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็นอีกเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ ซึ่งทำได้หลายวิธี เช่น การใช้เครื่องมือทางการเงินในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งจากข้อมูลพบว่าผู้นำเข้าค่อนข้างมีวินัยมีการปิดความเสี่ยงต่อเนื่อง ในขณะที่ผู้ส่งออกมักจะเร่งทำตอนค่าเงินแข็ง ไม่ใช่ได้ทยอยทำ หรือการเลือกใช้สกุลเงินท้องถิ่นหรือเงินสกุลของคู่ค้าเป็น invoice currency แทนการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ ปัจจุบันแม้ไทยจะค้าขายโดยตรงกับสหรัฐเพียงประมาณ 10% แต่ในการซื้อขายส่วนใหญ่ยังอยู่ในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐกว่า 70%
สำหรับ ธปท. ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องที่จะทำให้ระบบการเงินมีเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนที่เพียงพอเพื่อผู้ประกอบการสามารถเลือกใช้ได้เหมาะสม อาทิ การทำให้ตลาด forward โปร่งใสขึ้นมากขึ้น, โครงการ FX option ที่ผู้ประกอบการสามารถล็อคเรต, การมีบัญชีเงินฝากสำหรับเงินตราต่างประเทศ (FCD) สำหรับผู้ประกอบการที่ยังไม่ต้องการแลกเงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาท รวมทั้งการส่งเสริมให้มีการใช้เงินสกุลท้องถิ่นในการค้าขายให้มากขึ้น ซึ่งหนึ่งในโครงการที่ผลักดันคือการส่งเสริมให้ใช้ บาท-หยวนในมณฑลยูนานในช่วงเริ่มต้น และปัจจุบันได้ขยายไปทั่วประเทศ