แบงก์ ออฟ ไชน่า (BOC) เปิดเผยว่า ตัวเลขผลประกอบการสุทธิหลักหักภาษีของธนาคารประจำปี 2550 ยังคงปรับตัวสูงขึ้น แม้ว่าก่อนหน้านี้ธนาคารจะตั้งสำรองหนี้สูญจากการประสบภาวะขาดทุนในธุรกิจซับไพรม์ก็ตาม
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์เซ้าท์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์รายงานว่า แบงก์ ออฟ ไชน่า ธนาคารยักษ์ใหญ่อันดับสองของจีนอาจรายงานตัวเลขผลกำไรที่ลดลง หรืออาจประสบภาวะขาดทุนในปี 2550 จากการตัดบัญชีหนี้สูญเป็นวงเงินถึง 7.95 พันล้านดอลลาร์สหรัฐจากการลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับตลาดซับไพรม์
ขณะเดียวกันธนาคารได้กล่าวในแถลงการณ์ที่ยื่นต่อตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงว่า "ผู้อำนวยการต้องการชี้แจงว่า กระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารจะประสบภาวะขาดทุนนั้นไม่เป็นความจริง ซึ่งเมื่อดูจากตัวเลขเบื้องต้นที่ยังไม่ได้มีการแก้ไขพบว่า ผลประกอบการสุทธิหลังหักภาษีของธนาคารในปี 2550 ยังคงขยายตัวขึ้นเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับปี 2549"
โดยใช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 แบงก์ ออฟ ไชน่า มีผลประกอบการสุทธิเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านี้ 40% แตะที่ 4.55 หมื่นล้านหยวน ขณะที่ตัวเลขการลงทุนในซับไพรม์ร่วงลงแตะ 7.95 พันล้านดอลลาร์ในเดือนก.ย.จากระดับ 9.65 พันล้านดอลลาร์ในเดือนมิ.ย.
นอกจากนี้ นายลีกล่าวว่า ยังมีความเป็นไปได้ว่าธนาคารจะมีตัวเลขผลประกอบกอบการสุทธิในปี 2550 เพิ่มขึ้น หลังจากที่ตั้งสำรองหนี้สูญเป็นมูลค่ามหาศาล โดยผลประกอบการสุทธิของแบงก์ ออฟ ไชน่าในปี2550 อาจอยู่ที่ระดับ 4.49 หมื่นล้านหยวน จากระดับ 4.28 หมื่นล้านหยวนในปีก่อนหน้านี้ และคาดว่าในปีนี้ผลประกอบการสุทธิของธนาคารอาจพุ่งแตะที่ 6.38 หมื่นล้านหยวน
สำนักข่าวธอมสัน ไฟแนนเชียลรายงานว่า กระแสคาดการณ์ที่ว่าแบงก์ ออฟ ไชน่าจะมียอดตัดบัญชีหนี้สูญจากสินทรัพย์ที่อิงกับธุรกิจซับไพรม์เป็นจำนวนมากเพิ่มขึ้นนั้นมีขึ้นหลังจากที่ซิตี้กรุ๊ป, เมอร์ริล ลินซ์ และสถาบันการเงินรายอื่นๆได้เปิดเผยตัวเลขการตัดบัญชีหนี้สูญจำนวนมหาศาลจากการลงทุนในธุรกิจซับไพรม์
--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย อรษา สงค์พูล/รัตนา โทร.0-2253-5050 ต่อ 327 อีเมล์: ratana@infoquest.co.th--