นายทสึโยชิ อิโนะอุเอะ (Tsuyoshi Inoue) กรรมการผู้จัดการ หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ (JCCB) เปิดเผยว่า หอการค้าญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ ได้สำรวจแนวโน้มทางเศรษฐกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย ในปี 2561 โดยสำรวจไปยังบริษัทที่เป็นสมาชิก JCCB จำนวน 1,761 ราย เพื่อสะท้อนสภาพธุรกิจของบริษัทร่วมทุนญี่ปุ่นในประเทศไทย พบว่า ดัชนีแนวโน้มเศรษฐกิจ (Diffusion Index : DI) ในช่วงครึ่งแรกของปี 2561 อยู่ที่ 34 (เท่ากับค่าดัชนีในช่วงครึ่งหลังของปี 2560) ในขณะที่ช่วงครึ่งหลังของปี 2561 ปรับตัวอยู่ที่ 29 และคาดการณ์ในช่วงแรกของปี 2562 อยู่ที่ 25 ซึ่งค่า DI มีค่าเป็นบวกติดต่อกันถึง 7 ช่วงการสำรวจ (ตั้งแต่ ปี 2559) ซึ่งสะท้อนว่าภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มดีขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมการผลิต คาดว่าในปี 2562 จะมีการลงทุนด้านโรงงานและเครื่องจักร โดยมีสัดส่วนลงทุนเพิ่มขึ้น 30% ขณะที่จะลงทุนเท่าเดิม 42%
ในด้านการส่งออก บริษัทที่สำรวจคาดว่าในช่วงครึ่งแรก ปี 2562 จะส่งออกเพิ่มขึ้น 34% ส่งออกคงที่ 50% และอีก 16% คาดว่าจะส่งออกลดลง ในส่วนตลาดส่งออกที่มีศักยภาพในอนาคต พบว่า เวียดนามเป็นอันดับที่ 1 (46%) ของตลาดส่งออกจากประเทศไทยที่มีศักยภาพ ตามด้วย อินเดีย (34%) อินโดนีเซีย (33%) เมียนมา (22%) และญี่ปุ่น (20%) ตามลำดับ ประเด็นปัญหาด้านการบริหารองค์กร พบว่า ปัญหาที่พบมากที่สุดคือ การแข่งขันกับบริษัทอื่น ที่รุนแรงขึ้น (69%) ส่วนปัญหารองลงมาได้แก่ ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรเพิ่มสูงขึ้น (45%) ราคาวัตถุดิบหลักเพิ่มสูงขึ้น (32%) และการขาดแคลนวิศวกร (28%)
สำหรับข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลไทยในการดำเนินธุรกิจ บริษัทส่วนใหญ่ระบุประเด็น การพัฒนาและปรับปรุงระบบที่เกี่ยวกับศุลกากร รวมถึงการบังคับใช้ (51%) ส่วนประเด็นรองลงมา ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล (46%) การส่งเสริมมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการสาธารณูปโภค (43%) และการพัฒนาและการปรับปรุงการนำระบบภาษีมาปฏิบัติใช้ เช่น ระบบภาษีเงินได้นิติบุคคล (35%) นอกจากนั้น ยังมีประเด็นอื่น ๆ อีก ได้แก่ การรักษาเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยน (35%) การปรับปรุงและพัฒนาด้านการศึกษาและทรัพยากรมนุษย์ (34%) การผ่อนปรนกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (36%) และการแก้ไขปรับปรุงความสะดวกในการขอใบอนุญาตทำงานและวีซ่า (31%) ประเด็นผลกระทบจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีน พบว่า ส่วนใหญ่ตอบว่า ไม่มีผลกระทบ (37%) มีผลกระทบในเชิงบวก 13% โดยมองว่าอาจมีการย้ายกำลังการผลิตจากจีนมายังไทย ในขณะที่ 32% ตอบว่าได้รับผลกระทบเชิงลบ โดยเห็นว่าปริมาณการส่งออกลดลง ปริมาณยอดขายในประเทศลดลง และค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ยังได้สอบถามถึงนโยบายระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ที่เป็นประโยชน์ (บริษัทในอุตสาหกรรมเป้าหมาย) ซึ่งในประเด็นนี้ บริษัทส่วนใหญ่เห็นว่านโยบายที่เป็นประโยชน์มากที่สุด คือ แผนการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ EEC เช่น รถไฟความเร็วสูง โครงการขยายท่าเรือแหลมฉบัง โครงการขยายท่าเรือมาบตาพุด โครงการขยายสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา รองลงมา คือ การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลนานที่สุดถึง 13 ปี และการยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักรกล
"สมาชิกยังคงเชื่อมั่นที่จะลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง และความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับปีก่อน แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาก ขณะเดียวกันยังคิดว่าเศรษฐกิจไทยในอีก 5 ปีข้างหน้าจะยังคงขยายตัว อย่างไรก็ตาม ต้องการให้รัฐบาลเร่งรัดการก่อสร้างโครงการต่างๆ ในอีอีซีโดยเร็ว รวมถึงการเข้าเป็นสมาชิก CPTPP และการเจรจา FTA กับประเทศต่างๆ"
ด้านนายสแตนลีย์ คัง ประธานหอการค้าร่วมต่างประเทศในไทย กล่าวว่า นักลงทุนต่างชาติในไทยต้องการเห็นโครงการเมกะโปรเจคต์สำเร็จโดยเร็ว เพราะนอกจากจะช่วยอำนวยความสะดวกในการค้า การลงทุน และการขนส่งของภาคธุรกิจต่างๆ แล้ว ยังจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขันให้กับประเทศไทยด้วย ขณะเดียวกัน หากมีรัฐบาลใหม่แล้วก็ควรเร่งรัดการเจรจาเอฟทีเอกับประเทศต่างๆ ด้วย
"อยากให้รัฐบาลไทยเร่งรัดการลงทุนเมกะโปรเจคต์ให้สำเร็จโดยเร็ว เพราะจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับไทย แต่หากไม่สำเร็จทันรัฐบาลชุดนี้ ก็อยากให้รัฐบาลหน้าสานต่อ เพราะเป็นโครงการที่ดีกับประเทศไทยมาก และยังต้องการให้รัฐบาลแก้ปัญหาคอรัปชันให้ลดน้อยลงด้วย เพราะบริษัทต่างชสจิขนาดใหญ่ให้ความสำคัญเรื่องธรรมาภิบาลมาก" ประธานหอการค้าร่วมต่างประเทศในไทย กล่าว
นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการพูดคุยกับนักลงทุนต่างชาติในไทย จนถึงขณะนี้ยังคงมีความเชื่อมั่นที่จะลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งการขายการลงทุน และการลงทุนใหม่ แต่ต้องการให้ไทยเดินหน้าผลักดันเมกะโปรเจคต์ในพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ให้สำเร็จโดยเร็ว ทั้งโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนาม การขยายสนามบินอู่ตะเภา ขยายท่าเรือแหลมฉบังและมาบตาพุด เพราะจะช่วยอำนวยความสะดวกในด้านการค้า และการขนส่งมากขึ้น
"ประเทศญี่ปุ่นมีความสำคัญต่อการลงทุนในประเทศไทยเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ในปี 2561 (ม.ค.-ธ.ค.) มีปริมาณเงินลงทุนในการยื่นขอส่งเสริมสูงที่สุด จำนวน 334 โครงการ (คิดเป็น 32% ของโครงการลงทุนจากต่างชาติทั้งหมด) โดยเงินลงทุนส่วนใหญ่มาจากโครงการขนาดใหญ่ อาทิ กิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบผสม กิจการผลิตเคมีภัณฑ์ หรือโพลิเมอร์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กิจการผลิตเครื่องปรับอากาศที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง กิจการผลิตผลิตภัณฑ์โลหะ กิจการผลิตชิ้นส่วนยานพาหนะ เป็นต้น นอกจากนั้น ยังถือเป็นผู้ลงทุนอันดับ 1 ในพื้นที่ EEC ด้วยมูลค่าการลงทุน 109,600 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 46% ของการลงทุนในพื้นที่ EEC ทั้งหมด"
นอกจากนี้ นักลงทุนต่างชาติยังต้องการให้รัฐบาลไทยเร่งรัดการสมัครเข้าเป็นสมาชิกความตกลงที่ครอบลคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) โดยเร็ว เพื่อดึงดูดความสนใจด้านการลงทุน และภายหลังจากการเลือกตั้งและมีรัฐบาลใหม่แล้ว ก็ต้องการให้รัฐบาลใหม่เร่งรัดเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศต่างๆ ด้วย โดยเฉพาะเอฟทีเอไทย-สหภาพยุโรป (EU) ที่ค้างคามานานแล้ว
"ประเทศไทยยังมีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี โดยในปี 2561 ที่ผ่านมา ขยายตัวได้ที่ 4.1% และคาดว่าจะเป็นแรงหนุนเศรษฐกิจในปี 2562 ให้ขยายตัวได้ในกรอบประมาณการของ กกร. ที่ 4.0-4.3% จากการส่งออก ลงทุนภาครัฐ และ การท่องเที่ยว"