นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี มอบนโยบายแก่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ให้วางยุทธศาตร์การดำเนินงานให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลง เน้นการเชื่อมต่อภาคเกษตร อุตสาหกรรม และภาคบริการ พร้อมทั้งจัดโซนพัฒนาเศรษฐกิจในระดับภูมิภาคให้ชัดเจน นอกเหนือจากการผลักดันเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)
นอกจากนั้น จะต้องผลักดันให้ประเทศไทยมีบทบาทในการเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของกลุ่ม CLMV อย่างแท้จริงเพื่อเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจโลก พัฒนาทรัพยกรมนุษย์และเทคโลโลยี และพัฒนาตลาดเงินตลาดทุนให้มีความเข้มแข็ง
"สภาพัฒน์จะต้องวางยุทธศาตร์การดำเนินงานให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก และสอดรับกับแผนยุทธศาตร์ชาติ 20 ปี เพราะปัจจุบันจะพึ่งพาเพียงการส่งออกเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องพัฒนาการเติบโตจากภายในด้วย"นายสมคิด กล่าว
นายสมคิด ชี้แนะว่า ต้องสร้างสมดุลทางเศรษฐกิจ แม้ส่งออกจะยังเป็นรายได้หลักของประเทศ แต่สภาพัฒน์ต้องมีการจัดทำแผนงานให้เกิดการเชื่อมโยงทั้งภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการ โดยต้องหาวิธีการ หรือ How to เพื่อสร้างมูลค่าให้กับสินค้า และพัฒนาให้เข้าสู่ดิจิตัล ให้เป็นดิจิตัลคอนซูเมอร์ สมาร์ทเอสเอ็มอี และนำเอไอมาใช้ในภาคอุตสาหกรรม พัฒนาระบบโลจิสติกส์ให้มีความทันสมัยมากขึ้น
นอกเหนือจากการพัฒนา EEC แล้ว ยังได้มอบหมายให้สภาพัฒน์ไปคิดแผนพัฒนาพื้นที่โดยให้ดึงศักยภาพและจุดเด่นในแต่ละภูมิภาคออกมา เช่น ในภาคใต้ที่มีความพร้อมหลายด้าน ทั้งเรื่องแหล่งท่องเที่ยว และสินค้าแปรรูป ต้องหาแนวทางในการเพิ่มแรงจูงใจเข้าไปลงทุนในพื้นที่ เป็นต้น
นายสมคิด กล่าวต่อว่า ต้องทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางในกลุ่ม CLMV อย่างแท้จริง เชื่อมโยงกับโลก เช่น ใน EEC ต้องมีการเชื่อมโยงกับต่างประเทศ เช่น ฮ่องกงหรือมาเก๊า เพื่อแสดงให้เห็นว่าไทยเป็นศูนย์กลางในกลุ่ม CLMV หรือแนะนำให้สภาพัฒน์ควรมีการจัดตั้งคณะทำงานเพื่อให้คำแนะนำกับกระทรวงคมนาคมในการเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคมกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางในด้านคมนาคม
ทั้งนี้ นายสมคิด ระบุว่า สภาพัฒน์ต้องมีการวางแผนการพัฒนาตลาดการเงินของประเทศ ว่าควรจะไปในทิศทางใด เพราะหากไม่มีการพัฒนาหรือไม่เข้มแข็งเพียงพอจะส่งผลต่อเศรษฐกิจในอนาคตได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญสภาพัฒน์ต้องกำหนดแผนงานในการพัฒนาทรัพยกรมนุษย์และเทคโนโลยี เพื่อเป็นแนวทางให้กระทรวงศึกษาธิการและมหาลัยวิทยาลัยปฏิบัติตาม และภายในหน่วยงานของสภาพัมน์ต้องมีการจัดสรรบุคคลกรให้เพียงพอกับการพัฒนาในแต่ละด้าน เช่น ด้านดิจิทัลควรจะมีเด็กรุ่นใหม่ที่มีความรู้ ความสามารถในด้านนี้ให้เพียงพอ และหากมีบุคลากรไม่เพียงพอก็สามารถรับคนเพิ่มได้ หรือจ้างผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อมาช่วยวางแผนงานได้ ซึ่งรัฐบาลพร้อมให้การสนับสนุน
นอกจากนี้ นายสมคิด แนะนำให้สภาพัฒน์แสดงความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาประเทศให้มากกว่านี้ เพราะส่วนตัวมีความเชื่อมั่นในการทำงานของสภาพัฒน์อยู่แล้ว และมองว่างานจะขับเคลื่อนได้ต้องมีธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒน์ และสำนักงบประมาณมีส่วนร่วมไปด้วยกัน
"บทบาทของคุณควรอยู่ตรงไหน ของคุณมีพาวเวอร์ปีละครั้งเวลาพรีเซ้นท์แผน หลังจากวันนั้นไม่มีใครพูดถึงเลย เป็นผมนะ ถ้าผมขวางเรื่องใดในลักษณะที่ไม่ควรจะเกิด แล้วมีเหตุผลนะ ผมจะไม่ให้เกิด เรื่องนี้ถ้าต้องทำ แล้วคุณไม่ทำผมจะพรีเซ้นท์ใน ครม.ว่าคุณทำไมไม่ทำ ที่คุณจะทำไมไม่มีในนี้และรู้สึกไม่เข้าท่าเท่าไหร่ ต้องคู่กับสำนักงบประมาณ สำนักงบประมาณมีความโหดในเรื่องการตัด เราก็ต้องมีบางอย่างของเรา แต่ด้วยความชอบธรรมไม่ใช่ไปแกล้งเขา"นายสมคิด กล่าว