นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เปิดเผยว่า มีจำนวนผู้สนใจยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ (สินเชื่อพิโกไฟแนนซ์) เพิ่มขึ้น และคาดว่ายังคงมีแนวโน้มการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสำคัญประการหนึ่งมาจากการอนุญาตให้ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ สามารถให้บริการสินเชื่อโดยรับสมุดคู่มือทะเบียนรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นประกันในวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 50,000 บาทได้
นับตั้งแต่เดือน ธ.ค.59 ที่กระทรวงการคลังเปิดให้ผู้สนใจยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ จนถึง ณ สิ้นเดือน ม.ค.62 มีจำนวนนิติบุคคลยื่นคำขออนุญาตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีจำนวนคำขออนุญาตทั้งสิ้น 897 ราย ใน 73 จังหวัด โดยจังหวัดที่มีผู้ยื่นคำขออนุญาตมากที่สุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ นครราชสีมา 76 ราย กรุงเทพมหานคร 68 ราย ขอนแก่น 50 ราย
ทั้งนี้ มีจำนวนนิติบุคคลที่คืนคำขออนุญาตทั้งสิ้น 103 ราย ใน 47 จังหวัด จึงคงเหลือนิติบุคคลที่ยื่นคำขออนุญาตสุทธิเป็นจำนวน 794 ราย ใน 68 จังหวัด และมีจำนวนผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจแล้ว 469 ราย ใน 66 จังหวัด ซึ่งในจำนวนนี้ ได้เปิดดำเนินการแล้วเป็นจำนวน 382 ราย ใน 64 จังหวัด และมีจำนวนผู้ประกอบการที่ปล่อยสินเชื่อแล้ว 358 ราย ใน 63 จังหวัด
นอกจากนี้ สืบเนื่องจากที่กระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง กิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ 5 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 58 (เรื่อง สินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัดภายใต้การกำกับ) (ฉบับที่ 2) ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 ส.ค.61 เป็นต้นมา โดยได้ปรับปรุงนิยามของสินเชื่อพิโกแนนซ์ให้รองรับการให้บริการสินเชื่อโดยรับสมุดคู่มือทะเบียนรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์เป็นประกัน หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า "สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน" หรือ "สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ" ในวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 50,000 บาทได้ด้วย สำหรับเงื่อนไขอื่น ๆ ยังคงเป็นไปตามเงื่อนไขทั่วไปของสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์
ประกอบกับประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง กิจการที่ต้องขออนุญาตตามข้อ 5 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 58 (เรื่องสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ) ฉบับที่ 3 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค.62 ซึ่งกำหนดให้สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันดังกล่าวเป็นกิจการที่อยู่ภายใต้การกำกับซึ่งต้องขออนุญาตจาก รมว.คลัง จึงคาดว่าจะมีผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันในระดับท้องถิ่นที่สนใจยื่นคำขออนุญาตประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์เพิ่มเติมเข้ามาอีกเป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ผู้สนใจจะประกอบธุรกิจสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกันในระดับประเทศที่มีทุนจดทะเบียนไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท มีแนวโน้มจะขออนุญาตภายใต้ใบอนุญาตสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ทั้งนี้ สถิติสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ ณ สิ้นเดือน ธ.ค.61 มียอดสินเชื่ออนุมัติสะสมจำนวน 56,558 บัญชี รวมเป็นจำนวนเงิน 1,558.97 ล้านบาท หรือคิดเป็นวงเงินสินเชื่ออนุมัติเฉลี่ยจำนวน 27,564.01 บาทต่อบัญชี ประกอบด้วย สินเชื่อแบบมีหลักประกันจำนวน 30,274 บัญชี เป็นจำนวนเงิน 929.26 ล้านบาท หรือคิดเป็น 59.61% ของจำนวนยอดสินเชื่ออนุมัติสะสม และสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกันจำนวน 26,284 บัญชี เป็นจำนวนเงิน 629.71 ล้านบาท หรือคิดเป็น 40.39% ของจำนวนยอดสินเชื่ออนุมัติสะสม
ขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างรวมมีจำนวนทั้งสิ้น 20,402 บัญชี คิดเป็นจำนวนเงิน 587.97 ล้านบาท สำหรับสินเชื่อคงค้างชำระไม่เกิน 3 เดือน มีจำนวน 1,944 บัญชี หรือคิดเป็นจำนวนเงิน 57.90 ล้านบาท หรือคิดเป็น 9.85% ของยอดสินเชื่อคงค้างรวม และมีสินเชื่อคงค้างชำระที่เกินกว่า 3 เดือน (NPL) จำนวน 645 บัญชี คิดเป็นจำนวนเงิน 35.91 ล้านบาท หรือคิดเป็น 6.11% ของยอดสินเชื่อคงค้างรวม
สินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉิน ตั้งแต่เดือน มี.ค.60 ธนาคารออมสิน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้อนุมัติสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินเพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชนในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบทดแทนหนี้นอกระบบ รายละไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย 0.85% ต่อเดือน โดยได้เร่งกระจายความช่วยเหลือด้านสินเชื่อดังกล่าวแก่ประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนมกราคม 2562 มีการอนุมัติสินเชื่อรวม 462,113 ราย เป็นจำนวนเงิน 21,540.31 ล้านบาท จำแนกเป็นสินเชื่อที่อนุมัติแก่ประชาชนทั่วไปจำนวน 425,371 ราย เป็นจำนวนเงิน 19,973.27 ล้านบาท และสินเชื่อที่อนุมัติให้กับผู้มีรายได้น้อยในโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐปี 2560 ที่มีหนี้นอกระบบ จำนวน 36,742 ราย เป็นจำนวนเงิน 1,567.04 ล้านบาท
ส่วนการดำเนินการอย่างจริงจังกับเจ้าหนี้นอกระบบที่กระทำผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สนช.) ยังคงกวดขันจับกุมผู้ปล่อยเงินกู้นอกระบบและผู้ติดตามทวงถามหนี้โดยวิธีการผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินการสะสมการจับกุมผู้กระทำผิดนับตั้งแต่เดือน ต.ค.59 เป็นต้นมา ถึงสิ้นเดือน ม.ค.62 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 4,722 คน