ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) คาดการณ์การส่งออกไทยปี 62 ขยายตัวที่ 3.4% ชะลอลงจากปี 61 เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะชะลอลง ประกอบกับราคาน้ำมันดิบโลกที่คาดว่าจะมีทิศทางทรงตัว โดยจะส่งผลต่อมูลค่าการส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปและเคมีภัณฑ์ให้มีทิศทางชะลอลงเช่นกัน
นอกจากนี้ สินค้าส่งออกไทยหลายกลุ่ม ยังมีโอกาสได้รับผลกระทบมากขึ้นจากมาตรการกีดกันทางการค้าเพิ่มเติม ที่เริ่มใช้ในปีก่อนหน้า โดยยังต้องติดตามท่าทีของจีนและสหรัฐฯ ซึ่งหากสหรัฐฯ และจีนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงด้านสงครามการค้า ซึ่งระหว่างนี้ยังอยู่ในช่วงของการเจรจา ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 1 มี.ค.62 สหรัฐฯ ก็จะขึ้นภาษีเพิ่มเติมจากเดิมที่อัตรา 10% เป็น 25% สำหรับสินค้านำเข้าจีนมูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ ในช่วงที่ผ่านมา จีนมีท่าทีประนีประนอมในการเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากทางสหรัฐฯ มากขึ้น แต่หากพิจารณาข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ต่อจีน พบว่ามีแนวโน้มสูงที่จะไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้ในระยะเวลาอันสั้น เช่น ข้อเรียกร้องด้านการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การเปิดตลาดภาคบริการและเกษตรกรรม เป็นต้น
"อีไอซีประเมินว่า มีความเป็นไปได้ที่ทางสหรัฐฯ จะเลื่อนการขึ้นภาษีออกไปก่อน และน่าจะสามารถมีข้อตกลงได้ภายในครึ่งหลังของปี 62 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเข้าสู่การเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 63 นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามเกี่ยวกับการขึ้นภาษียานยนต์ของสหรัฐฯ ที่เมื่อวันที่ 17 ก.พ.ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐฯ ได้ยื่นเรื่องให้ประธานาธิบดีทรัมป์พิจารณาแล้ว โดยมีเวลาตัดสินใจ 90 วัน" เอกสารเผยแพร่ระบุ
ขณะที่มูลค่านำเข้าของไทยปี 62 อีไอซีประเมินว่าจะขยายตัวที่ 3.6% ชะลอลงจากปี 61 เนื่องจากการนำเข้าวัตถุดิบสำหรับผลิตเพื่อส่งออกมีแนวโน้มชะลอตามแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ประกอบกับมูลค่าการนำเข้าสินค้าเชื้อเพลิงมีแนวโน้มปรับตัวในทิศทางเดียวกับราคาน้ำมันดิบโลก ที่คาดว่าจะมีทิศทางทรงตัวหรือหดตัวเล็กน้อย อย่างไรก็ดี อีไอซีคาดว่า สินค้านำเข้าประเภทสินค้าทุนและอุปโภคบริโภค จะยังขยายตัวต่อเนื่องตามทิศทางการขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนในประเทศทั้งจากภาคเอกชนและภาครัฐ
โดยวันนี้ กระทรวงพาณิชย์รายงานภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทย เดือนม.ค.62 พบว่า การส่งออก -5.7% โดยหากหักทองคำออกไป มูลค่าส่งออกจะติดลบน้อยลงมาอยู่ที่ -4.9% โดยสินค้าหลักที่ส่งออกลดลง ได้แก่ ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (-9.6%) เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ (-8.5%) มันสำปะหลังอัดเม็ดและมันเส้น (-59.2%) น้ำมันสำเร็จรูป (-10.6%) เม็ดพลาสติก (-8.9%) ยางพารา (-15.1%) น้ำตาลทราย (-29.9%) และเครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ (-21.6%)
ทั้งนี้ สินค้าส่งออกของไทยที่ได้รับผลกระทบทางอ้อมผ่านห่วงโซ่อุปทาน ยังคงมีการหดตัวต่อเนื่อง โดยมูลค่าการส่งออกของไทยไปยังจีน เช่น หมวดแผงวงจรไฟฟ้า และเครื่องคอมพิวเตอร์-อุปกรณ์และส่วนประกอบ ซึ่งคาดว่าบางส่วนอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของสินค้าส่งออกจีนที่ถูกขึ้นภาษีนำเข้าโดยสหรัฐฯ มีการหดตัวที่ -5.5% และ -27.1% ตามลำดับ ทั้งนี้ สินค้าเคมีภัณฑ์ซึ่งคาดว่าได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยหดตัวในตลาดจีนครั้งแรกในรอบ 3 เดือนที่ -7.0%
ขณะที่มูลค่าการนำเข้าขยายตัวที่ 14.0% พลิกจากการหดตัวที่ -8.2% ในเดือนก่อนหน้า เป็นผลจากการนำเข้าที่นำโดยหมวดอาวุธ ยุทธปัจจัยเพื่อการซ้อมรบซึ่งขยายตัวกว่า 4,832.4% ตามด้วยสินค้าหมวดอื่นที่มีการขยายตัวเช่นกัน โดยสินค้าเชื้อเพลิง ขยายตัว 4.8% สินค้าวัตถุดิบกึ่งสำเร็จรูป ขยายตัว 7.5% สินค้าอุปโภคบริโภค ขยายตัว 4.0% และยานพาหนะอุปกรณ์การขนส่ง ขยายตัวได้ที่ 4.8% ขณะที่สินค้าทุนหดตัวต่อเนื่องที่ -2.9% ทั้งนี้ หากหักสินค้ากลุ่มอาวุธยุทธปัจจัย มูลค่านำเข้าจะขยายตัวเหลือเพียง 3.7%