ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ระบุ รัฐบาลใหม่จำเป็นต้องจัดเตรียมบุคลากรที่มีความรู้ด้านการเงินเพื่อเตรียมไว้รับมือกับปัญหาซับไพร์มที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินของประเทศคู่ค้า
"ปัญหาเข้ามากระทบตลาดหุ้นก็ไม่ทำให้ระบบเศรษฐกิจของเราเสียหายหรอก แต่จะกระทบตลาดการเงินต้องฐานคู่ค้าที่เซ็นสัญญาไว้แล้วจะมีปัญหาแน่นอน รัฐบาลใหม่ต้องเตรียมคนที่เป็นผู้รู้ด้านนี้ไว้ที่จะมาช่วยแก้ปัญหา" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวในการสัมมนา"รัฐบาลใหม่ต้องทำอะไร...ต่อไป?"
อย่างไรก็ตาม ม.ร.ว.ปรีดิยาธร หวังว่าผลกระทบดังกล่าวคงไม่รุนแรงมากนัก เพราะการส่งออกไม่ชะลอตัวลงมาก การบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวได้แม้ไม่มากนัก แต่การลงทุนภาคเอกชนและภาครัฐจะขยายตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเกณฑ์บังคับที่จะช่วยกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ และหากรัฐบาลเร่งส่งเสริมการการพัฒนาเซาเทิร์นซีบอร์ดและระบบโลจิสติกส์จะยิ่งช่วยกระตุ้นการบริโภคในประเทศ
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า แม้จะมีความเป็นห่วงว่าปัญหาซับไพร์มจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ แต่เชื่อว่าจะส่งผลกระทบไม่มากนัก โดยดูจากผลกระทบด้านตลาดหุ้นที่เกิดขึ้นกับต่างประเทศมากกว่าเรา
"ผมไม่ได้ห่วงเรื่องอื่นมาก ไม่ได้เห็นว่าประเทศไทยจะแย่มากนัก" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
ส่วนสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้เป็นแค่ความคิดเห็นและความหดหู่ที่เกิดจากความไม่ชอบคนนั้นคนนี้ เพราะไม่ว่าใครเข้ามาทำให้ประเทศชาติเดินหน้าได้ก็น่าจะเป็นเรื่องดี
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ยังแสดงความกังวลถถึงแนวทางที่รัฐบาลใหม่จะรีบยกเลิกมาตรการกันสำรอง 30% โดยเห็นว่ามาตรการดังกล่าวควรจะบังคับใช้ต่อไปอีกระยะ เพราะขณะนี้ค่าเงินในภูมิภาคต่างแข็งค่าขึ้นในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นค่าเงินหยวนของจีนที่แข็งค่าขึ้นถึง 13.3% เงินริงกิตมาเลเซียแข็งค่า 14% และดอลลาร์สิงคโปร์แข็งค่าขึ้น 13% ส่วนเงินบาทแข็งค่าขึ้น 15.7%
"รัฐบาลใหม่ไม่ควรบุ่มบ่ามยกเลิกมาตรการดังกล่าว ไม่ควรดูเฉพาะด้านทฤษฎีเท่านั้น แต่ควรดูทางปฏิบัติด้วย"ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย ธนวัฏ เสือแย้ม/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--